×

อินเดียร์ (บางวันก็มีแขกมาเยือน)

13.11.2017
  • LOADING...

 

​ไม่ใช่ที่น่าน เราพบกันที่ปัตตานี

     ​ผมลงไปทำงาน ศึกษาประวัติศาสตร์และบาดแผล ณ ที่เกิดเหตุ เดียร์มาหาเพื่อนสนิทที่ศูนย์ข่าวอิศรา รับผิดชอบติดตามสถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้ เข้าใจว่าเราน่าจะไม่ได้พูดคุยกัน สิบเอ็ดปีมาแล้ว–ความทรงจำอาจพร่าเลือน ต่อให้คุย ก็คงแค่เพียงทัก พยักหน้า ไม่มากกว่านั้น วันเวลาที่พบเจอสั้นมาก เดียร์อยู่กับเพื่อนของเขา บัณฑิตใหม่คู่นี้พกหนังสือติดมือเหมือนอวัยวะที่ 33 รักวรรณกรรม ฝักใฝ่การคิดการเขียน เท่าที่จำได้ บางค่ำคืนดึกดื่นไอ้หนุ่มหน้าตาดีออกไปเริงราตรีราวกับอยู่พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ ใช้ชีวิตปกติ

     ​อย่าเรียกว่าท้าทายเลย คนหนุ่มแข็งแรงก็ต้องหาเรื่องใช้แรง

     ​หลายปีผ่าน ผู้ชายที่ผมเจอที่ปัตตานียังคงเลือกปักหลักในวิชาชีพนักหนังสือพิมพ์ ด้วยเหตุบ้านการเมืองที่ทวีความเข้มข้นแหลมคม เราเจอกันบ่อยครั้งขึ้น แลกเปลี่ยนบางทัศนะที่สังคมไทยจงใจแช่แข็งไว้ในความมืด ถกเถียงจุดยืนเสรีนิยม อีกบางทีเป็นแหล่งข่าว ทำหน้าที่ผู้ให้สัมภาษณ์ และรู้ตัวต่อมาเดียร์ก็กลายเป็นเพื่อนในวงเหล้า เพื่อนหนุ่มที่เจอกันแล้วยืดย้วยเลิกยาก เขาเคยพาผมไปนั่งผับเพื่อชีวิตแถวซอยรางน้ำ หุ่นเขาไม่ให้เลย ไม่น่ามีรสนิยมสายนี้ ไม่รู้ไปสมาทานหรือน้อมนำสปิริตหัวควายและฆ้อนเคียวเข้ามาตอนไหน

     ​เดียร์ชอบขับรถ ชอบชีวิตต่างจังหวัด ปีก่อนเขาเคยตามผมมาเที่ยวน่านหนหนึ่ง ยังเป็นตำนานที่น่าอับอาย คืนแรก เพียงแตะน่านสัมผัสแรก เราพากันเข้าร้านเหล้าริมแม่น้ำ กำลังจะเลี้ยวลงหาที่จอด ปรากฏว่ารถติดหล่ม ต้องฉุดลากขุดเข็นกันอยู่กว่าครึ่งค่อนชั่วโมง สุดท้ายรอดจากบ่อโคลนมาได้ด้วยการช่วยเหลือของรุ่นใหญ่เจ้าถิ่น โต๊ะที่นั่งอยู่ก่อน

     ​ลมเย็น ต่อมาฝนกระหน่ำหนัก คืนนั้นเราดื่มกันเหมือนคนทะเลทรายกระหายน้ำ รุ่งขึ้นโรคกระเพาะเดียร์กำเริบรุนแรง เขาทำได้เพียงนอนมองเพดาน แพลนเลียบเลาะพฤกษ์ไพรภูดอยของเราล่ม

     ​ไม่เอาอีกแล้ว–เขาบอกผมว่าจะพยายามข่มใจ ไม่ดื่มหนักแบบปล่อยตัวปล่อยใจอีก มันทรมานและทำร้ายตัวเองเกินไป

     ​ปีนี้เดียร์ขับรถมาน่านอีกครั้ง หลังรู้ข่าวว่าจะได้กลับไปอินเดีย พอมีวันว่างเล็กน้อยก่อนเดินทางเลยอยากหาข้อมูลไว้ เพราะชัดเจนกับตัวเองแล้วว่าเอาแน่ วันหนึ่งต้องออกจากเมืองหลวงแน่ๆ

     ​บางความหมาย สวนไผ่รำเพยจึงมีอารมณ์คล้ายๆ โครงการนำร่อง เป็นช่องทางหนึ่ง เป็นวิธีคิดแบบหนึ่ง ของการทิ้งกรุงเทพฯ ทิ้งกรอบกรงและความเคยชินเดิมๆ มาเริ่มต้นชีวิตใหม่


.


     ​ไม่ใช่โรงเรียน โรงแรมหรือสวนสาธารณะ ปกติสวนไผ่รำเพยไม่ได้เปิดรับแขก

     ​บ้านควรเป็นโลกมุมส่วนตัวนั้นเหตุผลหนึ่ง และสอง, กระท่อมกลางหุบเขาในร่องรอยรูปเงากุฏิพระป่าไม่มีอะไรน่าสนใจ กระทั่งค่อนไปทางน่าสมเพช อาจอุจาดตาแก่ผู้พบเห็น ฉะนั้น ถ้าไม่ใช่เพื่อนซึ่งรับความดิบเถื่อนกันดารของกันและกันได้ ก็จำต้องปฏิเสธ สงวนสิทธิ์ไว้

     ​ในฐานะคนใกล้ มีใจ เหนืออื่นใด ผมเห็นว่าเดียร์ปรารถนาจะเรียนรู้ตัวอย่างที่ผิด จึงเปิดเปลือย ฉายไฟ บอกเล่ารากเหง้าความคิด เงื่อนไข อุปสรรคปัญหา ความสุขความทุกข์

     ​รู้แล้วจะได้วางแผน เตรียมตัวแก้ไข จัดวาง ตัดสินใจให้ถูก หรืออย่างน้อยก็ถูกมากกว่าผิด–ผิดบ่อยๆ มันน่าเบื่อ ยิ่งผิดซ้ำๆ ย่ำรอยหลงทางเหมือนคนมาก่อน

     ​ในหลายจุดเด่น ผมชอบเดียร์เรื่องความมุ่งมั่นในการพัฒนาตัวเอง พูดก็พูดเถอะ เจอหน้ากันใหม่ๆ ผมมองเขาผ่านๆ เป็นคนทำงานสื่อสารมวลชนที่ไม่น่าสนใจเลย ซ้ำสังกัดอยู่ค่ายใหญ่ที่เราเห็นอยู่หลายครั้งว่าหมอบกราบ สยบยอมอำนาจปืน กระทั่งเป็นปฏิปักษ์ต่อฝ่ายประชาธิปไตย

     ​ผมมองผ่านและอ่านเกมผิด

     ​ผ่านเดือนผ่านปี เดียร์แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นตัวของตัวเอง กล้าหาญในการแสดงความคิดความเชื่อ เหนืออื่นใด เขาเปิดหูเปิดตา ขยันติดตามความเปลี่ยนแปลงเป็นไป ใครจะกักขังแช่แข็งตัวเองไว้กับโครงสร้างอำนาจโบราณอย่างไรก็ช่าง เดียร์เคลื่อนเดินไปตามเข็มนาฬิกา ยึดกติกาโลกอารยะเรื่องคนเท่ากัน และยืนยันในหลักการสิทธิเสรีภาพ

     ​ที่ค่อนข้างช็อกความรู้สึก นึกไม่ถึง ทว่าทำให้หัวใจผมเต้นแรง เดียร์ลาออกจากงานที่กำลังก้าวหน้า ลาออกไปอินเดีย

     ​ให้มันได้อย่างนี้สิ ไอ้หนุ่ม–ผมยิ้มอยู่คนเดียว

     ​ใครจะเข้าจะออกไม่ใช่ประเด็น สิ่งที่ผมชื่นชมคือความกล้าหาญในการใช้ชีวิต คิดและเลือก คิดละเอียดรัดกุมแล้วกล้าเลือก แม้ใครหลายคนอาจตำหนิว่าโง่ ออกไปทำไม งานโคตรมั่นคง และทุกสิ่งทุกอย่างกำลังโรยด้วยกลีบกุหลาบ

     ​ในวงเหล้าคืนหนึ่งแถวซอยรามบุตรี เดียร์บอกผมว่าประสบการณ์สิบปีเต็มๆ ในองค์กรใหญ่โตนี้ เขาเห็นว่าพอแล้ว บวกกับความสนใจโลก อยากอ่านพูดภาษาอังกฤษให้คล่องๆ การเว้นวรรคไปเรียนหนังสือต่างแดนปีสองปีน่าจะสวย

     ​ใช่, ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่างดงาม กลับมาก็เดินหน้าต่อ ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย มีแต่ได้ มีแต่ลึกซึ้งขึ้น กว้างขวางขึ้น

     ​“ยื่นใบลาออกแล้วนะพี่ ติดต่อที่เรียนเรียบร้อย เดือนหน้าเดินทาง” เดียร์ยกแก้วเบียร์ ใบหน้ายิ้มปลอดโปร่ง

     ​ภาพคร่าวๆ เมื่อกลับมา เขาคิดว่ายังไงคงไม่ทิ้งวงการสื่อ ทางถนัดที่ทำมาตลอด และจะเพิ่มอีกปีกหนึ่งเข้าไปคือการเขียน อยากทำงานเขียนให้จริงจัง ผมนึกถึงนวนิยายที่เขาเขียนเสร็จแล้วเรื่องหนึ่ง แม้ไม่น่าพอใจนัก และยังอยู่ในขั้นตอนขัดเกลา นึกถึงไอเดียนวนิยายอีกเรื่องหนึ่งที่เขาเล่าให้ฟังในห้องโดยสารรถกระบะ ระหว่างทางแพร่–น่าน เสียงเพลงพงษ์เทพในรถรับประโลม–ทั้งๆ ที่รู้ว่าไกล จะไปแม้ไกลกว่านั้น..

     ​เดียร์เป็นนักหนังสือพิมพ์ ตราบใดที่งานเขียนยังไม่ออกมาให้จับต้องได้เป็นเล่ม เราไม่รู้หรอกว่าปรารถนาและวาจาที่ว่าเพ้อเจ้อหรือเอาจริงเอาจัง กระทั่งทำสำเร็จ พิมพ์ออกมาแล้วมันมีเรื่องมีรสหวานขมขื่นคาวอย่างไร

     ​ผมเห็นแค่แววตาและพัฒนาการของเขา เห็นและนับถือหัวใจว่าไอ้หมอนี่มีของ

     ​ใกล้รุ่ง ทว่าเสียงเพลงดัง แสงไฟยังพราว เราแยกกันด้วยคำพูดย้ำคิดย้ำทำของผม–จดบันทึกทุกอย่างในอินเดียมานะโว้ย ทำไม่ได้ กระจอก


.


     ​ผ่านเฟซบุ๊กและหน้าเพจ ‘อย่าด่าอินเดีย’ ผมพอรับรู้ชีวิตเดียร์ในอินเดียเป็นระยะ ว่าเขากิน อยู่ พบปะสิ่งใด ยุแหย่ โอ้อวดและเสวนากันสั้นๆ บ้าง (เชื่อมั้ยว่าเขาเคยถามผมเรื่องวิธีทำอาหาร เฮ้ย วรพจน์นี่นะ) เขาชวนไปเที่ยวปูเน่ ผมรับคำทันที พ้นจากโอกาสนี้ผมกับอินเดียไม่น่ามีวาสนาต่อกัน แต่สองเดือนผ่านไป เดียร์ก็สร้างเซอร์ไพรส์อีก เขาขายข้าวของทิ้ง ปล่อยห้องเช่าแสนรัก บอกลาชีวิตนักศึกษา บินกลับเมืองไทย

     ​ผมพอรู้มาบ้างว่าพ่อเขาป่วย แต่ไม่นึกว่าจะเป็นมะเร็ง เป็นในระยะสุดท้าย ก่อนเดินทางไปต่างแดน เดียร์เองก็เคยพูดเล่นๆ กับพ่อว่าอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ รอให้ลูกชายกลับมาก่อน

     ​คำของลูกรั้งโรคภัยพ่อไม่ได้ และนั่นทำให้เขาทิ้งความฝันกลับมาเฝ้าดูแลบุพการี

     ​เดียร์ใช้เวลาอยู่กับพ่ออย่างใกล้ชิดราวเดือนเศษ จากที่บ้าน สู่โรงพยาบาล และในที่สุดพ่อก็จากไป ผมอ่านข้อความในเฟซบุ๊กตอนสายของวันที่จะฌาปนกิจ ตกใจ เสียใจกับเขา และเขียนตอบว่าคงไปร่วมงานไม่ทัน ในฐานะเสาหลักของครอบครัว ขอให้แข็งแรงเสมอๆ จัดการดูแลความรู้สึกแม่และน้องได้เมื่อไร มีเวลาก็ขึ้นมาพักผ่อน สวนไผ่รำเพยยินดีต้อนรับ

     ​เขากล่าวขอบคุณ และบอกว่าเหนื่อยมาทั้งเดือน คงไม่มีแรงไปไหน อยากเตรียมตัวหางานทำด้วย

     ​ไม่ถึงเดือน เดียร์ส่งข้อความมาใหม่ บอกว่าทางมหาวิทยาลัยเพิ่งแจ้งข่าว ว่าสามารถกลับเข้าไปเรียนต่อได้ โดยให้ทุกอย่างรันไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     ​เดียร์ดีใจมากเพราะอยากเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง หลังจัดแจงจองตั๋วกลับปูเน่ พอมีวันว่าง เขาคิดว่ามานอนเล่นที่น่านสักสามสี่คืนน่าจะเหมาะ อยากเห็นที่ทางบ้านช่อง เพราะปีก่อนที่มาผมยังไม่ได้ปลูกบ้าน

     ​โทรศัพท์ดังตอนสิบโมง… เดียร์มาตรงเวลาเป๊ะ เขามารับที่คอนโดฯ และอาสาช่วยขนของ เราออกจากกรุงเทพฯ ช่วงใกล้เที่ยง กดยาวม้วนเดียวแบบกินลมชมวิว และราวสักสามทุ่มก็ถึงน่าน

     ​ทุกคนที่มาน่านต้องไปเที่ยวปัว กล่าวกันอย่างฮาๆ ว่าใครไม่ไปแจ้งตำรวจจับได้เลย คือไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันฮิตฮอตอะไรนักหนา ทำไมถึงแรงปานนั้น เดียร์ไม่ไปปัว เขาแทบไม่ชวนไปไหนเลย วันๆ นอนอ่านหนังสือ เดินดูแลนด์สเคป ศึกษาแบบบ้าน มองน้ำมองฟ้า มองต้นไม้ น่าจะมีวันเดียวที่แวบออกไปเดินเล่นริมลำธารไร้ชื่อ เขตอำเภอแม่จริม แค่นั้นจริงๆ และดูเขาชื่นชอบจริงๆ เพราะเป็นนักว่ายน้ำ เป็นคนหลงใหลแม่น้ำลำธาร ชอบขอบฟ้ากว้างๆ ของต่างจังหวัด

     ​เรียนจบ กลับมาจากอินเดียเมื่อไร เดียร์จะเร่งหาที่แลนดิ้ง (มาเยือนสวนไผ่รำเพยสองรอบ ที่ราบๆ เรียบๆ ก็ชักเริ่มไม่ชอบ) ทำบ้าน ปลูกต้นไม้ เขียนหนังสือ

     ​เสียงของเขายังแว่วกังวาน ทั้งที่เจ้าตัวลาจากน่านไปแล้วเมื่อช่วงสาย บ้านขนาดสองจุดห้าคูณสามเมตรดูโล่งๆ โหวงๆ เพราะคืนนี้นอนคนเดียว คล้ายโลกมันเงียบพิกล แต่พลอยยินดีที่อีกไม่กี่วันเพื่อนหนุ่มจะบินกลับอินเดีย บินไปบ่มเพาะเพื่อกลับมาสร้างชีวิต

     ​นอกจากเป็นคนแฟร์ หัวจิตหัวใจดี อย่างที่บอก ผมชอบเดียร์เรื่องความมุ่งมั่นพัฒนาการ ชอบความกล้าหาญแบบคนหนุ่มที่ทำตัวสมกับที่เป็นคนหนุ่ม

     ​เห็นเขา ฟังความคิดฝันของเขา และอยู่ใกล้ๆ เขาแล้วมันทำให้เราเบิกบาน.

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising