นับตั้งแต่ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ย้ายจากโรมามาร่วมทัพลิเวอร์พูลในปี 2017 ทีม ‘หงส์แดง’ ก็ค้นพบ 3 ประสานเกมรุกที่อันตรายที่สุด และกลายเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเวลาต่อมา
ซาลาห์ กองหน้าจอมจบสกอร์ที่มีความเร็วสูง ขยัน และมีเท้าซ้ายที่หากเข้าล็อกก็พร้อมจะส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายได้อย่างน่ามหัศจรรย์
ซาดิโอ มาเน ได้รับการขัดเกลาจาก เจอร์เกน คล็อปป์ จนกลายผู้เล่นแบบ Wide Forward ที่ดีที่สุดคนหนึ่งของวงการฟุตบอลยุคปัจจุบัน เทคนิคล้ำเลิศ แข็งแกร่งและรวดเร็วเหมือนเสือ และเต็มไปด้วยการเล่นที่ไม่สามารถคาดเดาได้
โรแบร์โต เฟียร์มิโน กองหน้าหมายเลข 9 ที่เล่นในสไตล์กองหน้าตัวหลอก False Nine ได้ดีที่สุดคนหนึ่งของโลก เป็นคนปิดทองหลังพระให้ทีมมาโดยตลอด และเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่คล็อปป์ไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด อาจจะมากยิ่งกว่ามาเนหรือซาลาห์ด้วยซ้ำ
การเล่นของ 3 ประสานที่ดูไม่น่าจะเข้ากัน แต่ก็เข้ากันได้อย่างน่าประหลาด เป็นหนึ่งในจุดขายของลิเวอร์พูลยุคของคล็อปป์ โดยเฉพาะในฤดูกาล 2017/18 ที่พวกเขาเล่นร่วมกันเป็นครั้งแรก สามารถทำประตูรวมกันได้มากถึง 91 ประตูในฤดูกาลเดียว โดยที่แทบจะหาคนจับทางไม่ได้
แต่ในเกมที่ลิเวอร์พูลทำได้เพียงแค่เสมอกับเวสต์บรอมวิช อัลเบียน ต่อด้วยการเสมอนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และพ่ายแพ้ต่อเซาแธมป์ตันในรายการพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลมีโอกาสในการยิงเพียงแค่ 7 ครั้งเท่านั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นพวกเขาเพิ่งจะระเบิดฟอร์มโหดด้วยการถล่มคริสตัล พาเลซ 7-0
เกิดอะไรขึ้นกับ 3 ประสานที่เคยได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดกันแน่?
และพวกเขาจะยังช่วยให้ลิเวอร์พูลมีชัยในเกม ‘แดงเดือด’ ที่สำคัญที่สุดในรอบหลายปีได้หรือไม่?
3 ประสานสิ้นอภินิหาร?
ตัดประเด็น 3 เกมที่เปลี่ยนแชมป์เก่าจากจ่าฝูงมาเป็นรองจ่าฝูง ตามหลังคู่ปรับตลอดกาลอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เคยตามหลังห่างไกลเมื่อ 2 เดือนก่อนหน้าออกไปก่อน เพราะข้อเท็จจริงคือ ในระยะหลัง 3 กองหน้าของลิเวอร์พูล เผชิญกับปัญหาฟอร์มการเล่นตกลงมาอย่างมาก
เดอะ ค็อป ทั้งปวดหัวและปวดใจกับภาพของมาเน ที่ต้องพยายามใช้ความสามารถเฉพาะตัวเพียงอย่างเดียวในการสร้างโอกาสให้ตัวเอง จวนตัวแล้วจึงส่งให้เพื่อน
เฟียร์มิโนที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไม่สามารถพลิกแพลงการเล่นได้เหมือนเก่า บางทีก็วนไปวนมา บางครั้งได้ยิงก็เบาเหมือนปุยนุ่น ยิงหนักก็ไม่เข้ากรอบ
หรือซาลาห์ที่บอลแทบมาไม่ถึงตัว เมื่อถึงตัวก็จับลั่น ถ้าไม่จับลั่นก็โดนประกบติดจนทำอะไรไม่ได้ และการตัดสินใจในการเลือกเล่นช็อตต่อช็อตผิดเกือบทั้งหมด
อย่างไรก็ดี หากมองผลงานโดยรวมของทีมแล้วจะพบความน่าประหลาดใจอยู่บ้าง
ใน 17 นัดของฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่ทำประตูได้มากที่สุด 37 ลูก หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยแล้ว 1 นัดจะมี 2.17 ประตู
ซาลาห์ที่ว่าฟอร์มดร็อปอย่างหนัก ก็นำเป็นดาวซัลโวอยู่ที่ 13 ประตูด้วยกัน
แต่หากเจาะลึกเข้าไปในสถิติแล้ว 13 ประตูนี้เป็นการทำประตูจากการเล่นปกติ (Open Play) เพียงแค่ 8 ลูก อีก 5 ลูกเป็นการยิงจุดโทษซึ่งไม่พลาดแม้แต่ลูกเดียว และเมื่อดูจากการคิดสถิติค่าเฉลี่ยประตูที่คาดหวังได้ (Expected Goals: xG) ในฤดูกาลนี้ซาลาห์อยู่ที่ 0.34 ต่อ 90 นาที หรือประมาณ 3 นัดจะมี 1 ประตู
ตัวเลขนี้ไม่ได้น้อยเพราะใกล้เคียงกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด (0.35) แต่เมื่อเทียบกับสถิติในฤดูกาลแรก (2017/18) ที่ซาลาห์มีค่า xG ที่ 0.7 ต่อ 90 นาที หรือคิดเป็นค่าเฉลี่ยจะยิงได้ทุกๆ 1.5 นัด หรือในอีก 2 ฤดูกาลถัดมา (2018-19, 2019-20) ซึ่งค่า xG อยู่ที่ 0.5 หรือทุก 2 นัดจะมี 1 ประตู แล้วจะเห็นความแตกต่างชัดเจน
และในจำนวน 8 ประตูที่ทำได้นั้น ยังไม่มีการทำประตูในกรอบ 6 หลาแม้แต่ลูกเดียว
ขณะที่มาเนและเฟียร์มิโน ซึ่งไม่ได้อยู่ในบทบาทที่ถนัดการทำประตูเป็นพิเศษอย่างเดียวเหมือนซาลาห์ แต่ค่า xG ก็ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเช่นกัน แม้จะทำได้ 6 และ 5 ประตูตามลำดับ
สิ่งที่น่ากังวลไม่น้อยไปกว่าสถิติการทำประตูคือการเล่นสอดประสานระหว่างทั้ง 3 ที่ดูเหมือนจะมีจังหวะการเล่นสอดประสานน้อยลงไปจากเดิมอย่างสังเกตได้
ปัญหาเกิดจากคู่แข่งเริ่มจับทางได้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือฟอร์มการเล่น สภาพร่างกาย และความมั่นใจที่ไม่เท่ากับในช่วง 2-3 ฤดูกาลก่อนหน้า รวมถึงการขาด ดีโอโก โชตา ที่บาดเจ็บ ทำให้ไม่มีใครช่วยแบ่งเบาภาระได้ เพราะคนที่เหลืออย่าง ทาคุมิ มินามิโนะ, ดิว็อค โอริกิ หรือ อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน เองก็ไม่สามารถทดแทนได้
และอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญอย่างมากที่หลบซ่อนอยู่และเริ่มเห็นผล คือการขาดการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมทีม
ขาดฟาน ไดจ์ค = ไม่มีใครนับ 1
ย้อนกลับไปในเกม ‘เมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี’ ลิเวอร์พูลต้องสูญเสีย เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ปราการหลังเสาหลักของทีมไปแบบโชคร้ายสุดๆ เมื่อถูก จอร์แดน พิกฟอร์ด เข้ามาตัดบอลแบบอันตรายจนเอ็นหัวเข่าฉีกขาดเสียหายและต้องผ่าตัด ซึ่งหมายถึงแทบไม่มีโอกาสในการกลับมาลงสนามได้อีกครั้งแล้วในฤดูกาลนี้
การขาดหายของฟาน ไดจ์ค ถูกซ้ำเติมด้วยการบาดเจ็บหนักพอๆ กันของ โจ โกเมซ ที่เจ็บเข่าในระหว่างการซ้อมในแคมป์ทีมชาติอังกฤษ ซึ่งหมายถึงลิเวอร์พูลขาด 2 เซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวจริงของทีมไปในเวลาไล่เลี่ยกันตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาล
ความสูญเสียนี้ทำให้มีการประเมินว่าจุดแรกที่จะได้รับผลกระทบคือเกมรับ ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในจุดแข็งของลิเวอร์พูล โดยเฉพาะเมื่อมีฟาน ไดจ์คยืนบัญชาเกมอยู่
เพื่อแก้ปัญหาใหญ่จุดนี้ โดยที่ยังใจแข็งไม่ยอมซื้อผู้เล่นใหม่เข้ามาทดแทน ท่ามกลางเสียงเรียกร้องของแฟนๆ รวมถึงสื่อมวลชน คล็อปป์ตัดสินใจถอย ฟาบินโญ กองกลางตัวรับเบอร์หนึ่งของทีมมายืนแทนฟาน ไดจ์คในฤดูกาลนี้ และกลายเป็นตัวหลักที่แบกแนวรับของทีม
วันไหนมี โจเอล มาทิป ลงมาด้วยงานก็จะเบาหน่อย แต่ถ้าวันไหนต้องประคองรีส วิลเลียมส์ และแนท ฟิลลิปส์ สองดาวรุ่ง ก็เหนื่อยหน่อย และล่าสุดถึงขั้นที่คล็อปป์ถอยเอา จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมมายืนคู่กันในเกมที่พ่ายเซาแธมป์ตันแล้ว ซึ่งแม้ทีมจะพ่าย แต่ผลงานในภาพรวมแล้วทั้งคู่พอถูไถได้
และหากมองไปที่เกมรับ ลิเวอร์พูลมีผลงานที่ไม่แย่เลย โดยเฉพาะนับตั้งแต่โดนแอสตัน วิลลาถล่ม 7-2 (ซึ่งฟาน ไดจ์คก็หมดปัญญาในเกมนั้น) พวกเขาเสียประตูน้อยมาก
โดยหลังจบเกมกับวิลลา ซึ่งเป็นนัดที่ 4 พวกเขาเสียไปแล้วถึง 11 ประตู แต่หลังจากนั้นอีก 13 นัด ลิเวอร์พูลเสียเพียงแค่ 10 ประตูเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เพื่อเสริมเกราะเกมรับให้กับทีม ราคาที่ลิเวอร์พูลต้องจ่ายคือการปรับสไตล์การเล่นที่ลดความเสี่ยงลง
สถิติที่น่าสนใจคือค่าเฉลี่ยในการครองเกมของลิเวอร์พูล ที่แตกต่างจากใน 2 ฤดูกาลก่อนหน้าที่พวกเขาได้รองแชมป์และแชมป์ตามลำดับ
โดยใน 2 ฤดูกาลก่อนหน้านี้ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 24.7 วินาที
แต่หลังการเสียฟาน ไดจ์คไป ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 27.2 วินาที
ค่าเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นเกือบ 3 วินาทีนั้นมองแล้วเหมือนดี แปลว่าทีมครองบอลมากขึ้น แต่จริงๆ แล้วเป็นไปในทางตรงกันข้าม เพราะแปลว่าลิเวอร์พูลใช้เวลามากขึ้นในการเก็บบอล มากกว่าการที่จะหาโอกาสในการเข้าทำประตู
เช่นกันกับค่าเฉลี่ยในจังหวะการเล่นต่อการครองบอล 1 ครั้ง ในช่วง 2 ฤดูกาลที่แล้วจะมีการผ่านบอลมากกว่า 10 ครั้งต่อเกมอยู่ที่ 18.5 ครั้ง (คิดง่ายๆ คือเคาะบอล 1-10 นับ 1 ครั้ง)
แต่หลังเสียฟาน ไดจ์ค การผ่านบอลมากกว่า 10 ครั้งต่อการครองบอล 1 ครั้งนั้น เพิ่มเป็น 21.4 ครั้งต่อเกม นั่นหมายถึงลิเวอร์พูลผ่านบอลมากกว่าช่วงที่ผ่านมา 3 จังหวะ
พูดง่ายๆ คือ ลิเวอร์พูลครองบอลนานขึ้นและผ่านบอลไปมากันมากขึ้น ซึ่งสถิติที่เกี่ยวเนื่องกันยังมีการสร้างโอกาสที่ลดลงจาก 10.6 ครั้งต่อเกม ลงมาเหลือแค่ 8.2 ครั้ง
ที่เป็นเช่นนี้เพราะยักษ์ดัตช์นั้นเป็นปราการหลังที่ไม่ได้เก่งแค่เกมรับหรือการควบคุมเกมรับ แต่เป็นกองหลังที่สามารถเปิดเกมจากแดนหลังได้ สามารถเปลี่ยนแกนในการเล่นได้อย่างรวดเร็วด้วยการเปิดบอลแค่ครั้งเดียว ซึ่งจะเห็นได้เสมอในการเปิดทแยงมุมให้ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
การเสียฟาน ไดจ์คไปจึงไม่ได้มีความหมายแค่เกมรับ แต่หมายถึงเกมรุกที่ไม่มีคนช่วยนับ 1 ด้วย
คนที่มีความสามารถพอจะลำเลียงบอลขึ้นมาได้อย่างโกเมซก็บาดเจ็บยาว เช่นกันกับมาทิปที่เจ็บตลอดเวลา ทำให้ประสิทธิภาพของทีมลดลง
ความพะวงในเกมรับยังทำให้ฟูลแบ็กสองข้างที่เป็นอาวุธหลักในการเข้าทำของลิเวอร์พูลอย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มีความพะวงและไม่สามารถที่จะเล่นได้เต็มประสิทธิภาพเหมือนเดิม
โดยเฉพาะในรายของ ‘เทรนต์’ ที่เจอปัญหาอาการบาดเจ็บ และถูกเปิดเผยในเวลาต่อมาว่ามีการติดโควิด-19 ก่อนเริ่มฤดูกาล ทำให้ไม่สามารถซ้อมพรีซีซันได้เต็มที่ ผลงานจึงดร็อปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยค่าเฉลี่ยการสร้างโอกาสต่อเกมลดลงจาก 1.4 ในฤดูกาลที่แล้ว เหลือแค่ 1.0 ครั้ง
การสนับสนุนจากริมเส้นที่ไม่ดีเท่าก่อนหน้านี้ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกมรุกของลิเวอร์พูล โดยเฉพาะการสนับสนุน 3 กองหน้าที่ไม่เหมือนเก่า
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกอย่างจะแย่ลง
Disguised @Thiago6 pass 👌
Key assist from @XS_11official 🅰️
Boss @MoSalah finish ⚽️A lovely Salah strike 👏 #FACup pic.twitter.com/SvVoc5FIlo
— Liverpool FC (@LFC) January 9, 2021
กุญแจไขประตูที่กำลังปิดตาย
ฟอร์มของกองหน้าที่ตกลง การสร้างสรรค์จากทีมที่ไม่เหมือนเดิม การถูกปิดตายของเกมริมเส้น ทำให้อาการของแชมป์เก่าอย่างลิเวอร์พูลดูน่าเป็นห่วงขึ้นมาทันที
เพราะลิเวอร์พูลเริ่มมีอาการเจอทางตันบ่อยในช่วงหลัง และมักจะเสียท่าคู่แข่งที่ตั้งรับลึกพร้อมกับมีเกมสวนกลับที่รวดเร็ว และนั่นเป็นสไตล์ถนัดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยามที่ต้องเจอกับทีมที่ชอบการครองบอลและมีระบบการเล่นทีมเวิร์กที่ดี
หากทีมอย่างเซาแธมป์ตันสามารถเล่นงานลิเวอร์พูลได้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีตัวอันตรายที่กำลังมั่นใจอย่าง บรูโน แฟร์นันด์ส, มาร์คัส แรชฟอร์ด, อองโตนี มาร์กซิยาล, พอล ป็อกบา ไปจนถึง เอดินสัน คาวานี ก็สามารถสร้างปัญหาได้เช่นกัน และอาจจะทำอันตรายได้มากกว่าด้วย
อาการน่าเป็นห่วงของหงส์แดงยังลามมาถึงเกมเอฟเอคัพรอบที่ 3 ในการไปเยือนแอสตัน วิลลา ซึ่งทีมเสียหน้าอย่างมาก เพราะถูกนักเตะวิลลาที่เป็นผู้เล่นระดับเยาวชนที่ไม่เพียงแต่ยันไม่เสียประตูเพิ่มได้ ทั้งที่โดน ซาดิโอ มาเน ยิงนำเร็ว แล้วยังสามารถตีเสมอได้อีกด้วยในช่วงก่อนหมดครึ่งแรกจาก ลูอี แบร์รี ไอ้หนูดาวรุ่งมหัศจรรย์
อย่างไรก็ดี ในครึ่งเวลาหลัง คล็อปป์ตัดสินใจถอด จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมที่ฟอร์มไม่สู้ดีนักออกมา และส่ง ติอาโก อัลกันตารา มิดฟีลด์จอมเทคนิคชาวสเปนได้ลงมาเคาะสนิมเพิ่มเติม หลังจากที่ได้ลงเล่นในศึกพรีเมียร์ลีกในเกมกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และเซาแธมป์ตัน โดยที่ยังไม่สามารถช่วยเปลี่ยนแปลงเกมได้มากนัก
จุดที่น่าสนใจคือการลงมาของติอาโก ทำให้เกมของลิเวอร์พูลที่กระจัดกระจายสามารถเล่นเป็นเกมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เป็นความรู้สึกเดียวกับในเกมแรกที่กองกลางชาวสเปนเชื้อสายบราซิลได้ลงเล่นในเกมพบเชลซี โดยสามารถลงมาบงการเกมได้ทันที
ติอาโกไม่ได้เพียงแค่จ่ายบอลสั้นยาวได้อย่างแม่นยำ ยังสามารถจ่ายบอลขึ้นหน้าทะลุทะลวงได้อย่างยอดเยี่ยม และยังเล่นอย่างกล้าหาญ สร้างความพะวงให้แก่แอสตัน วิลลา ซึ่งแม้จะเป็นทีมเด็ก แต่ถ้ามองย้อนกลับไปครึ่งแรก รูปเกมของลิเวอร์พูลนั้นแตกต่างไปอย่างชัดเจน
เปรียบแล้วกองกลางวัย 29 ปี อาจเหมือนกุญแจที่จะช่วยไขประตูให้ลิเวอร์พูลที่กำลังถึงทางตันได้
แต่จุดที่น่าสนใจคือ นอกจากติอาโกแล้ว นักเตะที่คล็อปป์ใช้งานบ่อยขึ้นในช่วงหลังคือ เซอร์ดาน ชากิรี ตัวรุกทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ที่ถูกปรับบทบาทมาเป็นกองกลางและมีหน้าที่ในการลงสนามมาเปลี่ยนเกมการเล่น และใช้การเปิดบอลที่แม่นยำในการเจาะแนวรับคู่ต่อสู้
ในเกมกับวิลลา ชาคิรีลงสนามมาไม่นานก็สามารถทำได้ถึง 2 แอสซิสต์ด้วยการเปิดให้มาเนโหม่งประตู และไหลบอลให้ซาลาห์ยิงเบียดเสาเข้าไปอย่างสวยงาม
นั่นหมายความว่าลิเวอร์พูลกำลังปรับรูปแบบและหันมาเน้นการเจาะเข้าทำตรงกลางมากขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหายามเจอทีมที่แพ็กเกมรับแน่น โดยอาศัยนักเตะอย่างติอาโก หรือชาคิรี และรวมถึง นาบี เกอิตา ที่ใกล้จะกลับมาฟิตสมบูรณ์อีกครั้ง
หากการปรับสูตรครั้งนี้สำเร็จ ลิเวอร์พูลน่าจะสร้างสรรค์โอกาสได้มากขึ้นและดีกว่าที่ผ่านมา
ถ้าทำได้ขนาดนั้นแล้ว 3 กองหน้ายังทื่อ บางทีหลังสิ้นสุดฤดูกาลนี้คล็อปป์อาจต้องคิดมองหากองหน้าใหม่เพิ่มอีกรายและรีเซ็ตแนวรุกกันใหม่
แต่ก่อนจะมองไกลถึงตรงนั้น ลองมาดูกันว่าในเกมแดงเดือดวันอาทิตย์นี้ จะมีใครใน 3 ประสานที่ช่วยนำชัยชนะมาสู่ทีมได้หรือไม่
เพราะความสำคัญของผลการแข่งขันในวันอาทิตย์นี้ อาจหมายถึงจุดตัดของยุคสมัยได้เลยทีเดียว
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง:
- https://www.theguardian.com/football/2021/jan/14/thiago-alcantara-time-arrives-key-contribution-liverpool-manchester-united
- https://theathletic.co.uk/2311937/2021/01/14/liverpool-salah-mane-firmino-soccer-football/
- https://www.skysports.com/football/news/11095/12185201/liverpool-vs-manchester-united-title-race-what-happened-in-2008-09-when-they-last-competed-for-the-premier-league
- https://www.skysports.com/football/news/11095/12187740/graeme-souness-liverpool-will-be-nervous-against-manchester-united-but-should-edge-it-pitch-to-post-podcast