ผลสำรวจจากบริษัทบริหารความมั่งคั่งระดับโลกอย่าง BlackRock Inc. and Juniper Place ระบุว่า มีกองทุนมากกว่า 61 กองทุน หรือราวๆ 1 ใน 3 ของกองทุนทั้งหมดที่มีจำนวน 185 กองทุน ซึ่งบริหารสินทรัพย์ให้กับตระกูลมหาเศรษฐี วางแผนจัดสรรการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพิ่มขึ้น ท่ามกลางความวุ่นวายทางเศรษฐกิจและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
โดยตระกูลมหาเศรษฐีและนักลงทุนรายอื่นๆ เริ่มมองหากองทุนบริหารความเสี่ยง หรือ ‘เฮดจ์ฟันด์’ กันมากขึ้น หลังจากที่ต้องเผชิญอยู่กับค่าธรรมเนียมที่สูง แต่ผลตอบแทนไม่หวือหวา และด้วยวิกฤตการณ์ด้านสุขภาพและอนามัยทั่วโลก ทำให้ผู้จัดการกองทุนบางคนยังมีผลงานที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้จัดการกองทุนที่เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากวิกฤติการณ์ด้านสุขภาพ และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล ซึ่งผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นทำจุดสูงสุดครั้งใหม่
“ความวุ่นวายในตลาดที่เกิดขึ้นล่าสุด และการคาดการณ์ว่าตลาดจะยังผันผวนต่อเนื่องในระยะกลาง กำลังทำให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์ได้รับความสนใจอีกครั้ง” BlackRock and Juniper Place เปิดเผยในรายงานผลสำรวจ
ตระกูลมหาเศรษฐีมีความมั่งคั่งเพิ่มมากขึ้นจากการเข้าลงทุนในกิจการด้านเทคโนโลยี การเงิน รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ Cascade Investment ซึ่งเป็นกองทุนส่วนตัวของ บิล เกตส์ และ Bayshore Global Management ซึ่งเป็นกองทุนส่วนตัวของ เซอร์เกย์ บริน หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Google
ผลสำรวจจาก BlackRock เมื่อเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2563 พบว่า ตระกูลมหาเศรษฐีมากกว่า 3 ใน 4 ชื่นชอบเฮดจ์ฟันด์มากกว่า
ทั้งนี้ ตระกูลมหาเศรษฐีมีแผนจะจัดสรรการลงทุนเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ก่อนเกิดโรคระบาดขึ้น อาทิ หุ้นกู้เอกชน และอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ยังแสวงหาโอกาสและผลตอบแทนจากการลงทุนยั่งยืนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยผลสำรวจพบว่า ราว 80% ของตระกูลมหาเศรษฐีได้เริ่มเข้าลงทุนในสินทรัพย์ยั่งยืนเรียบร้อยแล้ว
“พวกเขาไม่ได้มองว่าการลงทุนอย่างยั่งยืนเป็นการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนแค่ระดับพอรับได้อีกต่อไป” BlackRock ระบุในรายงานผลสำรวจ
ปัจจุบัน BlackRock เป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของโลก ดูแลสินทรัพย์ 7.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563
ด้านสำนักงานที่ปรึกษาทางบัญชี EY ระบุว่า ปัจจุบันมีมหาเศรษฐีที่เป็นครอบครัวเดี่ยวมากกว่า 10,000 ครอบครัวทั่วโลก ซึ่งในลูกค้า 1 รายจากกลุ่มนี้ก็ถือครองสินทรัพย์สุทธิสูงถึง 802 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูลจากงานวิจัยที่เผยแพร่ในปี 2562 โดย Campden Wealth and UBS Group AG)
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: