ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO ประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ และมาตรการล็อกดาวน์เฉพาะพื้นที่เสี่ยงว่าน่าจะสร้างผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผลกระทบต่อตลาดทุนนั้น เชื่อว่ามีผลกระทบน้อย
ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ และประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า ตลาดทุนไทยไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่มากนัก หรืออาจกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกเรียนรู้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้สามารถประเมินภาพรวมตลาดและความเสี่ยงจากการลงทุนไทย
“ยกตัวอย่างตลาดหุ้นเกาหลีเมื่อปีที่แล้วที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 30% แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดระลอกใหม่หลายครั้งและตัวเลขผู้ติดเชื้อก็เพิ่มขึ้นหลักพันคนต่อวัน นี่เป็นภาพสะท้อนว่านักลงทุนทั่วโลกมองไปข้างหน้ามากกว่า เช่น มองไปถึงการมีวัคซีน การกระจายวัคซีน และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก”
ขณะที่มาตราการล็อกดาวน์เฉพาะพื้นที่นั้น ประเมินว่าเป็นมาตรการที่เหมาะสมและรัดกุมสำหรับสถานการณ์ของไทยในปัจจุบัน และเชื่อว่าไม่น่าจะเห็นการล็อกดาวน์ทั้งประเทศเหมือนที่เคยเกิดขึ้นทั่วโลกเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา
“ก็ถือเป็นมาตรฐานสากลที่ล็อกดาวน์เฉพาะพื้นที่เสี่ยงเป็นจุดๆ ไป เรื่องการล็อกดาวน์ทั้งประเทศเลยไม่ว่าน่าจะเกิดขึ้นแล้ว เพราะประเทศไทยเองก็ต้องรักษาสมดุลทั้งสาธารณสุขและเศรษฐกิจ”
สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยนั้น ประเมินว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่แน่นอน แต่จะมากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับตัวเลขผู้ติดเชื้อว่าจะสูงแค่ไหน และการใช้มาตรการล็อกดาวน์ว่าจะยาวนานเท่าใด โดยยิ่งนานก็จะทำให้ภาคการใช้จ่ายสะดุดไปด้วย
ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ ประเมินจีดีพีไทยปีนี้เติบโต 3.4% โดยแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ และการส่งออกที่น่าจะฟื้นตัวเป็นบวกได้จากปีที่แล้วที่ติดลบ ส่วนภาคการท่องเที่ยวนั้นเชื่อว่าจะยังไม่เห็นการฟื้นตัวในปีนี้
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล