จากกรณีการติดโควิด-19 ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในจังหวัดสมุทรสาคร นำมาซึ่งการล็อกดาวน์จังหวัดสมุทรสาคร และทำให้อุตสาหกรรมประมงไทยและธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบไปด้วย เนื่องจากสมุทรสาครเป็นแหล่งประมงหลักของประเทศไทย
บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป หรือ TU ผู้ผลิตและส่งออกอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งและบรรจุกระป๋อง และขยายธุรกิจให้ครบวงจรด้วยธุรกิจอาหารสำเร็จรูปและอาหารว่าง โดยเน้นอาหารทะเล ธุรกิจบรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์ ธุรกิจการตลาดภายในประเทศ ธุรกิจอาหารสัตว์ และธุรกิจพัฒนาสายพันธุ์กุ้งเพื่อจำหน่าย เป็นหนึ่งในบริษัทที่ถูกมองว่าจะได้รับผลกระทบจากภาพรวมอุตสาหกรรมประมงที่กำลังเผชิญปัญหา
อีกทั้งเมื่อวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา บริษัทได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า มีพนักงานติดโควิด-19 จำนวน 1 ราย จากพนักงานทั้งหมดของกลุ่มบริษัทที่มีการปฏิบัติงานในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งมีจำนวนประมาณ 20,000 ราย คิดเป็น 40-50% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด
อย่างไรก็ตามโรงงานของกลุ่มบริษัททุกโรงในประเทศไทยยังคงเปิดดำเนินการ โดยบริษัทได้วางแผนการดำเนินงานอย่างรอบคอบและรัดกุม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อการผลิต
แต่กรณีเกิดเหตุสุดวิสัยที่อาจทำให้ต้องปิดโรงงานของกลุ่มบริษัททุกโรงในจังหวัดสมุทรสาครเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ทางบริษัทได้ประเมินว่า จะมีผลกระทบต่อรายได้ทั้งหมดของบริษัทน้อยกว่า 2% ของรายได้รวมต่อปี ซึ่งบริษัทได้เตรียมมาตรการเสริมเพื่อทดแทนกำลังการผลิตบางส่วนไว้แล้วหากเกิดเหตุสุดวิสัยดังกล่าวขึ้น
ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวทำให้บริษัทได้รับความห่วงใยและสอบถามมาค่อนข้างมาก ซึ่งได้ยืนยันถึงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดที่บริษัทดำเนินการตลอดให้คนที่กังวลรับทราบแล้ว นอกจากนี้ยังได้ยกระดับการป้องกันโดยการแยกไซต์การทำงาน โดยกำหนดให้พนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับสายการผลิตทำงานจากที่บ้าน และอนุญาตให้เฉพาะพนักงานที่เกี่ยวข้องกับสายการผลิตเข้าปฏิบัติงานในโรงงานเท่านั้น
ในส่วนของการล็อกดาวน์จังหวัดสมุทรสาคร และอาจส่งผลต่อการขนส่งและจัดส่งสินค้านั้น ธีรพงศ์ระบุว่า ไม่มีผลกระทบต่อเส้นทางการขนส่งและจัดส่งสินค้าแต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของรัฐ และได้รับใบอนุญาตเรื่องการขนส่งอยู่แล้ว ทั้งนี้ มาตรการล็อกดาวน์ถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเข้ามาในพื้นที่จังหวัดเท่านั้น ผู้ประกอบการเอกชนยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ดังเดิม
เขากล่าวเพิ่มว่า ภาพรวมของธุรกิจทั้งปี 2563 เชื่อมั่นว่า จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้คือ รายได้เติบโต 5% และคาดการณ์ว่า ปี 2564 รายได้รวมจะเติบโต 5% ต่อเนื่องจากปีนี้ จากการขยายตัวของความต้องการสินค้าสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว นอกจากนี้บริษัทยังเน้นการลดต้นทุน เพิ่มความสามารถในการทำกำไรด้วย
โดยผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสที่ 3/63 บริษัทมียอดขาย 34,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปีที่แล้ว โดยกลุ่มสินค้าธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปยังมียอดขายที่เติบโตต่อเนื่อง ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งยอดขายเติบโตกว่า 4.7% จากปีก่อน เนื่องจากธุรกิจร้านอาหารได้กลับมาเปิดร้าน ส่วนงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายอยู่ที่ 98,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9%
ด้านกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปีนี้อยู่ที่ 2,056 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้น 49.68% จากปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากธุรกิจหลักแข็งแกร่ง ขณะที่กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 4,789 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74% จากปีก่อนหน้า ทั้งนี้หากแยกค่าใช้จ่ายทางกฎหมายในไตรมาส 2/62 ออก กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน
ธีรพงศ์กล่าวว่า ปี 2564 บริษัทจัดสรรงบลงทุนไว้มากกว่า 6,000 ล้านบาท ถือเป็นงบลงทุนที่มากที่สุดในรอบ 3 ปี โดยแบ่งเป็นงบลงทุนปกติ เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การปรับปรุงเครื่องจักร ซึ่งเฉลี่ยงบลงทุนจะอยู่ที่ 4,200-4,500 ล้านบาท และที่เหลือลงทุนผลิตโปรตีนไฮโดรไลเสตและคอลลาเจนประมาณ 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, ลงทุนสร้างห้องเย็นในประเทศกานา 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และลงทุนธุรกิจอาหารสำเร็จรูปในประเทศไทย 1,000 ล้านบาท
โดยธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารเสริมและอาหารเพื่อสุขภาพล้วนมีฐานวัตถุดิบตั้งต้นมาจากอาหารทะเลทั้งสิ้น นับเป็นการต่อยอดธุรกิจจากสินค้าที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญสูง ผสานกับโจทย์ใหม่ โดยบริษัทประเมินว่า ตลาดอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารเสริมสามารถเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากเทรนด์ในอนาคตผู้บริโภคจะใส่ใจกับการรักษาสุขภาพของตัวเองมากขึ้น
“วางเป้าหมายไว้ว่า ภายใน 3-5 ปีจากนี้จะมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่มากกว่า 50% ของรายได้รวม และจากการที่เรา R&D มากว่า 6 ปี พบว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์นี้แม้จะไม่ได้มาในปริมาณยอดขายที่สูง แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมาก”
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล