บิตคอยน์คือหนึ่งในสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrencies) ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด และครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 63% และปีนี้ถือว่าบิตคอยน์ปรับตัวขึ้นอย่างหวือหวา โดยทะยานขึ้นเกือบ 170% ในปีนี้ และพุ่งขึ้นกว่า 43% ในเดือนพฤศจิกายน ที่สำคัญคือ การปรับตัวขึ้นของบิตคอยน์ เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการชะลอตัวลงของราคาทองคำ จนทำให้นักลงทุนบางส่วนเกิดคำถามว่า บิตคอยน์คือสินทรัพย์ปลอดภัยชนิดใหม่ที่จะมาเทียบเคียงกับทองคำหรือไม่ วันนี้ YLG มีคำตอบค่ะ
หากเราย้อนกลับไปพิจารณาในช่วงปลายปี 2017 ที่บิตคอยน์เคยปรับตัวขึ้นอย่างมากจนแตะระดับสูงสุดที่ 19,891 ดอลลาร์ ก่อนที่จะดิ่งลงแรงแตะ 3,128 ดอลลาร์ในอีก 1 ปีถัดมา ซึ่งถือว่าปรับตัวลดลงมากถึง -84% เลยทีเดียว จนเรียกได้ว่าหลายคนแทบจะสูญเสียความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ อย่างไรก็ดี การทะยานขึ้นของบิตคอยน์ในปีนี้ดูจะแตกต่างออกไป โดยความสนใจในสกุลเงินดิจิทัลเพิ่มขึ้นในปีนี้ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งทำให้ตัวเลือกการชำระเงินที่ไม่ใช่เงินสดได้รับความนิยมมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น บิตคอยน์ได้รับการยอมรับมากขึ้นหลังจาก PayPal และ Square มีแผนที่จะให้ลูกค้าใช้สกุลเงินดิจิทัลในการซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกจำนวน 26 ล้านรายทั่วโลก ทางด้าน Open Interest ของ Bitcoin Futures ในตลาด CME แตะ 1 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ นักลงทุนรายใหญ่ในตลาด เช่น พอล ทิวดอร์ โจนส์ และสแตนลีย์ ดรักเคนมิลเลอร์ ต่างตบเท้าออกมาแสดงความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
อีกหนึ่งมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไป เห็นได้จาก J.P Morgan ที่เคยออกมาเตือนในปี 2017 ว่า ฟองสบู่ในบิตคอยน์หรือสกุลเงินดิจิทัลจะแตกในที่สุด และจะต้องปิดตัวลง เนื่องจากเป็นสกุลเงินที่อุปโลกน์ขึ้นเท่านั้น และกล่าวอีกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้เลวร้ายกว่า ‘การตื่นหัวทิวลิป’ ที่เคยเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 17 ในขณะที่ปีนี้ J.P Morgan มองว่า ‘สกุลเงินดิจิทัลจะได้รับความนิยมมากขึ้นในฐานะสินทรัพย์ประเภทหนึ่ง พร้อมระบุว่าการยอมรับบิตคอยน์จากนักลงทุนสถาบันได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว’ โดย J.P Morgan อ้างถึงเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้า Grayscale Bitcoin Trust เกือบ 2 พันล้านดอลลาร์ตั้งแต่เดือนตุลาคม นอกจากนี้ J.P Morgan ยังมองอีกว่าแนวโน้มดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากนักลงทุนโยกเงินทุนออกจากทองคำและไปสู่สกุลเงินดิจิทัล
ถึงแม้ว่าบิตคอยน์จะถูกมองมากขึ้นว่าเป็น ‘New Digital Gold’ อย่างไรก็ดี ทองคำยังมีข้อได้เปรียบอยู่หลายประการ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Tangible Asset), ความผันผวนอยู่ในระดับต่ำกว่ามาก, มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 5,000 ปี และถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นเครื่องมือรักษาความมั่งคั่งในระยะยาว, มีตลาดขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูง อ้างอิงรายงานจาก World Gold Council ที่ระบุว่าในช่วงสิ้นปี 2019 มีทองคำจำนวน 197,576 ตันที่ถูกขุดขึ้นมาแล้วหมุนเวียนอยู่ในภาคเครื่องประดับ, การลงทุน, การถือครองของธนาคารกลาง และอื่นๆ
ดังนั้น หากคำนวณมูลค่าจากราคาทองคำ ณ วันที่ 14 ธันวาคม 2020 ที่ระดับ 1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ พบว่า Market Cap ของทองคำทั่วโลกในปัจจุบันคิดเป็นประมาณ 11.64 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือได้ว่า Market Cap ของบิตคอยน์ยังคงต่ำกว่าทองคำอยู่ราว 33 เท่า ที่สำคัญคือ ทองคำเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นต่อทองคำในสายตาของธนาคารกลางทั่วโลกได้เป็นอย่างดี
จากทั้งหมดที่กล่าวมาคงพอตอบคำถามนักลงทุนได้ว่า บิตคอยน์อาจยังไม่สามารถมาแทนที่ทองคำได้เต็ม 100% ขณะที่การขึ้นเร็ว-ลงแรงในตลาดบิตคอยน์ สะท้อนให้เห็นปัญหาเสถียรภาพด้านราคา แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับว่า ตลาดบิตคอยน์ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วย่อมจะส่งผลต่อตลาดทองคำ อย่างน้อยๆ คือ ดึงเม็ดเงินเก็งกำไรออกไปจากตลาดทองคำ
ดังนั้น นี่จึงถือเป็นอีกปัจจัยที่นักลงทุนทองคำไม่ควรมองข้าม ยิ่งถ้าหากบิตคอยน์ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนสถาบันมากขึ้น ก็อาจส่งผลให้เกิดการโยกเงินหลายพันล้านดอลลาร์ออกจากตลาดทองคำได้
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง:
- Coinmarketcap
- World Gold Council