YLG เผย ปีหน้าทองมีโอกาสขึ้นแตะระดับ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ รับปัจจัยบวกทั่วโลกงัดนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ใกล้เคียงสถิติปี 2554 ที่หลายประเทศใช้นโยบาย QE ส่งผลให้ทองขึ้นสูงแตะ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ พร้อมแนะนักลงทุนดูปัจจัยแวดล้อม หากตัวเลขการว่างงานสูง รัฐบาลทั่วโลกยังต้องใช้นโยบายอัดฉีดเงินทำ QE แต่หากตัวเลขการจ้างงานเริ่มดี เป็นสัญญาณหยุดทำ QE และขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้เงินไหลออกจากทอง ส่วนปีนี้แม้ล่าสุดทองเริ่มลดลง แต่หากเทียบจากต้นปี ราคายังถือว่าปรับขึ้นมาแล้วเกือบ 20%
ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาด TFEX เปิดเผยว่าราคาทองที่ปรับลดลงค่อนข้างมากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจนหลุด 1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าราคาทองคำจะเป็นขาลงแล้วหรือไม่ ซึ่งจากการปรับตัวลดลงล่าสุดจะเห็นว่าราคาทองคำยังไม่เป็นขาลง เพราะหากเป็นขาลงจะต้องปรับลดลงไปถึง 1,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่เมื่อราคาทองคำปรับลดลงไปที่ 1,764 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ พบแรงซื้อกลับเข้ามา ทำให้ราคาสามารถยืนเหนือ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้ แนวโน้มราคาทองคำในระยะยาวจึงยังเป็นขาขึ้น แม้ว่าระยะสั้นจะยังแกว่งตัวผันผวน
ทั้งนี้ คาดว่าภายในปี 2563 ยังมีโอกาสได้เห็นราคาทองคำขึ้นไปแตะ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าช่วงนี้ราคาทองคำจะปรับลดลงมาจากจุดสูงสุดของปีนี้ที่ทำไว้ที่ 2,075 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากเทียบกับราคาต้นปีที่เปิดที่ 1,517 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ก็ยังถือว่าราคาปรับขึ้นมาเกือบ 20%
ส่วนปัจจัยที่มองว่าราคาทองคำในระยะยาว 1-2 ปียังคงเป็นขาขึ้นนั้นมาจากปัจจัยหลักที่จะมีเงินไหลเข้าทองคำจากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่จะเข้ามาอย่างมหาศาล แม้จะมีวัคซีนออกมาใช้ แต่กว่าทุกอย่างจะกลับมาปกติยังต้องใช้ระยะเวลา 1-2 ปี ดังนั้นแต่ละประเทศยังต้องดำเนินนโยบายทั้งการเงินและการคลังเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ ซึ่งทุกครั้งจะมีเงินอัดฉีดเหล่านี้ไหลเข้ามาในตลาดทองคำดังเช่นในอดีตเมื่อปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่มีการทำ QE พบว่าราคาทองคำขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากนั้นก็ค่อยๆ ปรับลดลง
แต่ปีที่ลดลงชัดเจนคือปี 2556 ซึ่งเป็นปีที่เลิกทำ QE ทำให้ราคาทองคำปรับลดลงไปที่ระดับต่ำสุดที่ 1,045 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เพราะหากสหรัฐฯ เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ย มีนโยบายหยุดทำ QE เริ่มดึงเงินออกจากระบบ ราคาทองคำก็จะปรับลดลงไป
อย่างไรก็ดี มองในกรณีเลวร้าย หากในอนาคตราคาทองคำมีการปรับลดลงก็จะปรับลดลงไม่ต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ สาเหตุที่ราคาทองคำจะไม่ปรับลงไปกว่านั้นเพราะเหมืองทองคำจะมีต้นทุนหน้าเหมืองอยู่ที่ระดับดังกล่าวโดยประมาณ
ทั้งนี้ การอัดฉีดเงินของแต่ละประเทศจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการภาคเอกชน ตัวเลขเงินเฟ้อ และตัวเลขการว่างงาน เพราะถ้าออกมาไม่ดี รัฐบาลก็ต้องอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อให้ประชาชนเกิดการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งก็จะทำให้เกิดการหมุนเวียนและเกิดการลงทุน เงินเหล่านี้ก็จะไหลไปสู่สินทรัพย์ประเภทต่างๆ รวมทั้งทองคำ ส่วนสัญญาณที่จะเลิกทำ QE คือการดึงเงินออกจากระบบหรือขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็คือดูตัวเลขการจ้างงานและเงินเฟ้อ หากตัวเลขดีขึ้นต่อเนื่อง นักลงทุนที่ลงทุนในทองคำต้องระมัดระวังสัญญาณเหล่านี้ เพราะเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัว นักลงทุนจะมีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น และเงินจะเริ่มไหลออกจากตลาดทองคำ
สำหรับปีนี้แม้จะมีโควิด-19 ทำให้เกิดวิกฤตทั่วโลก แต่ก็เป็นปีแห่งโอกาสเช่นกัน เพราะปีนี้นักลงทุนสามารถทำกำไรจากการลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ ได้อย่างมหาศาล เพราะไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลงของราคาสินทรัพย์ต่างๆ ก็สามารถเข้าไปทำกำไรจากส่วนต่างของราคาได้ นอกจากนี้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนทองคำในตลาด TFEX ผ่านการลงทุนโกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์ส (Gold Online Futures) ที่เป็นการซื้อขายทองคำล่วงหน้าในรูปแบบดอลลาร์สหรัฐ ทำให้นักลงทุนไม่ต้องมีความกังวลด้านความเสี่ยงจากการผันผวนของค่าเงินบาท อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนต้องศึกษาให้เข้าใจก่อนการลงทุน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์