สถิติของหุ้นไอพีโอที่สำคัญของไทยในปีนี้ จนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีหุ้นไอพีโอเข้าจดทะเบียนทั้งสิ้น 22 บริษัท แบ่งเป็นการจดทะเบียนใน SET 11 บริษัท และ MAI 11 บริษัท และมีไอพีโอของกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน 1 กองทุน รวมถึงกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 1 กองทุน
จากหุ้นไอพีโอ 22 บริษัท มี 16 บริษัทที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจากราคาไอพีโอ และหากคำนวณผลตอบแทนเฉลี่ยจากการลงทุนเท่ากันในทุกบริษัท พบว่าการลงทุนในหุ้นไอพีโอทั้ง 22 ตัวในปีนี้ จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 51%
ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงเป็นอันดับหนึ่งที่มีการระดมทุนผ่านการขายหุ้นไอพีโอได้มากที่สุดในอาเซียน โดยมีมูลค่าการระดมทุน 119,449.68 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าการระดมทุนผ่านไอพีโอของอีก 5 ประเทศในกลุ่มอาเซียนรวมกัน คือ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเวียดนาม
ดีลอยท์ เปิดเผยข้อมูลล่าสุด ชี้ให้เห็นว่าตลาดทุนในภูมิภาคอาเซียนยังคงแข็งแกร่งท่ามกลางวิกฤตและความไม่แน่นอนมากมายในปี 2563 นับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ความตึงเครียดในสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมไปถึงผลกระทบจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ภาพรวมระยะเวลา 10 เดือนครึ่งของปี 2563 หุ้นไอพีโอของบริษัทในภูมิภาคจำนวน 100 บริษัท ที่มีการเสนอขายต่อสาธารณะ สามารถระดมทุนได้เป็นมูลค่ารวม 6.44 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.99 แสนล้านบาท)
แม้ว่าจำนวนไอพีโอรวมจะลดลง 38% จาก 161 บริษัท ในปี 2562 และมูลรวมหุ้นรวมลดลง 12% จาก 7.34 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.27 แสนล้านบาท) แต่มูลค่ารวมของตลาดไอพีโอกลับสูงขึ้น 3% หรือเท่ากับ 2.59 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 8 แสนล้านบาท) ในปี 2563 นับเป็นข่าวดีที่ตลาดทุนในอาเซียนยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดี ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน
ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงรั้งตำแหน่งผู้นำที่สามารถระดมทุนได้สูงสุดในภูมิภาคเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดย บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) และ บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เป็นสองบริษัทที่สามารถระดมทุนได้สูงสุด โดยสามารถระดมทุนได้เป็นจำนวนเงินรวม 5.59 หมื่นล้านบาท และ 3.94 หมื่นล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นมูลค่ารวมกันเกินกว่าครึ่งหนึ่งของหุ้นไอพีโอรวมทั้งหมดที่สามารถระดมทุนได้
ส่งผลให้หุ้นไอพีโอไทยสามารถระดมทุนได้รวมกันถึง 1.19 แสนล้านบาท คิดเป็นประมาณ 61% ของทุนที่ระดมได้ในปี 2563 นับเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันที่ประเทศไทยสามารถระดมทุนจากไอพีโอที่เข้าตลาดได้สูงกว่า 6 หมื่นล้านบาท และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2558 ที่มีมูลค่าการระดมทุนทะลุ 9 หมื่นล้านบาท
แมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า มูลค่าของหุ้นไอพีโอที่สูงกว่า 4 แสนล้านบาท ถือเป็นการทำลายสถิติสูงสุดของปีก่อนลงไปอีกครั้ง และมูลค่าของหุ้นไอพีโอไทยเมื่อเทียบกับภูมิภาคถือว่าสูงสุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 5
สำหรับปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้การระดมทุนผ่านหุ้นไอพีโอไทยค่อนข้างประสบความสำเร็จ คือความพร้อมของข้อมูลที่แต่ละบริษัทใช้ยื่นขอจดทะเบียนกับ ก.ล.ต. ประกอบกับความต้องการใช้เงินทุนของแต่ละบริษัทในช่วง 2-3 ปีทีผ่านมา ซึ่งแต่ละธุรกิจจำเป็นจะต้องปรับตัวค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการปรับตัวให้เข้ากับกระแสของเทคโนโลยี รวมถึงการปรับตัวให้ทันกับปัจจัยภายนอกที่เข้ามากระทบ เช่น สงครามการค้า หรือโควิด-19
“อีกปัจจัยหนึ่งที่อาจจะรองลงมาคือ ภาวะตลาด ในอดีตบริษัทอาจจะลังเลที่จะเข้าระดมทุนหากภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย แต่ปัจจุบันจะเห็นว่าตลาดโดยภาพรวมค่อนข้างจะผันผวนและคาดเดาได้ยาก ทำให้บริษัทตัดสินใจเข้าระดมทุนทันทีเมื่อมีความพร้อม ส่วนเทรนด์ไอพีโอในอนาคต เริ่มเห็นบริษัทในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ซึ่งต้องการจะเข้ามาระดมทุนมากขึ้น”
วิลาสินี กฤษณามระ Disruptive Events Advisory Leader ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดไอพีโอของประเทศไทยมีศักยภาพและแข็งแกร่งมากที่สุดตลาดหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน เป็นผลจากความสามารถของบริษัทของไทยเอง และได้แรงสนับสนุนจากนักลงทุนที่มีความสนใจในธุรกิจด้านอุปโภคบริโภค ทำให้ตลาดไอพีโอในประเทศไทยยังคงดึงดูดนักลงทุนและผู้จัดการกองทุนได้
ส่วนแนวโน้มไอพีโอปีหน้าน่าจะดีต่อเนื่อง จากปัจจัยสำคัญคือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องการที่จะเปิดตัวตลาดใหม่ เพื่อรองรับธุรกิจสตาร์ทอัพ รวมถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
ส่วนหุ้นไอพีโอที่เตรียมจะเข้าจดทะเบียนในขณะนี้มีอยู่ราว 25 บริษัท โดยหนึ่งในบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือ บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR)
ภาพประกอบ: พรวลี จ้วงพุฒซา
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
