บมจ.บ้านปู (BANPU) ผู้ให้บริการด้านพลังงานจากโรงไฟฟ้าและถ่านหินเป็นหลัก ประกาศเป้าหมาย 5 ปีข้างหน้า (2564-2568) จะขยับเข้าสู่พลังงานสะอาด (Green Energy) และพลังงานทดแทน (Renewable Energy) มากขึ้น โดยอาศัยการเติบโตจากธุรกิจปัจจุบัน (Organic Growth) และจากการซื้อ/ควบรวมกิจการ (Merger & Acquisition) และวางเป้าหมายให้บริษัทมีสัดส่วน EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย) จากพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทน เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 50% จากสิ้นปี 2563 ที่น่าจะอยู่ที่ 25%
สมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู กล่าวว่า บ้านปูใน 5 ปีข้างหน้า จะยังคงเป็นองค์กรที่เน้นการเปลี่ยนผ่าน (Transform) ด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับ 5 ปีที่ผ่านมา (2559-2563) โดยจะยังเน้นการเป็นผู้ให้บริการด้านพลังงานที่ Smarter, Greener และเพิ่มความเร็ว (Faster) เข้าไปด้วยในแผน 5 ปีจากนี้
ในการนี้ บ้านปูจะปรับพอร์ตด้านประเภทพลังงาน โดยจะเน้นพลังงานสะอาด และพลังงานทดแทนให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม แหล่งพลังงานดั้งเดิมคือโรงไฟฟ้าถ่านหินก็จะยังมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากความต้องการของกลุ่มลูกค้าในประเทศต่างๆ
โดยเป้าหมายกำลังการผลิตในปี 2568 มีดังนี้
- กำลังการผลิตพลังงานพื้นฐาน เพิ่มเป็น 4,300 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีอยู่ 2,800 เมกะวัตต์
- พลังงานทดแทนและพลังงานสะอาด เพิ่มเป็น 1,600 เมกะวัตต์ จากปัจจุบัน ประมาณ 278 เมกะวัตต์
“ในการเพิ่มกำลังการผลิต จะมีทั้งการซื้อกิจการ การควบรวมกิจการ การเข้าลงทุนเป็นพาร์ตเนอร์ ขึ้นอยู่กับโอกาสและการเสริมศักยภาพ (Synergy) ระหว่างกัน จะเห็นได้ว่าบ้านปูจากนี้ไปอาจจะไม่ลงทุนแบบหนัก เช่น ไปซื้อเหมืองหรือไปสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ แต่เราจะมุ่งเน้นลงทุนแบบ Light Asset เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวการณ์การใช้พลังงานของทั่วโลก”
ทั้งนี้ บ้านปูจัดสรรเงินลงทุนใน 5 ปีจากนี้ อย่างน้อย 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับงบลงทุน 5 ปีที่ผ่านมาที่ใช้งบ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนจังหวะการลงทุนนั้น มองว่าน่าจะเริ่มลงทุนในปี 2566 เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก
สมฤดี กล่าวเพิ่มว่า การจัดทรัพย์ด้านพลังงานและการลงทุนนี้ จะสะท้อนออกมาเป็นสัดส่วน EBITDA จากพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทนให้เพิ่มเป็นมากกว่า 50% ของ EBITDA รวม ภายในปี 2568 ได้ จากสิ้นปี 2563 ที่สัดส่วน EBITDA จากพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทนน่าจะอยู่ที่ 25%
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/63 EBITDA จะดีกว่าไตรมาส 3 ที่ผ่านมาอย่างแน่นอน แต่ส่วนของกำไรสุทธิ จะขึ้นอยู่กับความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนด้วย เนื่องจากบ้านปูมียอดขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นส่วนมาก โดยในงวดไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 31.30-31.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนปัจจุบัน (เดือนพฤศจิกายน) ค่าเงินบาทน่าจะเฉลี่ยประมาณ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/63 บ้านปูมีรายได้จากการขายรวม 470 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 14,739 ล้านบาท) โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อม และค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 146 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 103% จากไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม จากการลดลงของปริมาณขาย และราคาขายเฉลี่ยของถ่านหินและก๊าซธรรมชาติตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ทำให้บริษัทมีผลขาดทุน 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
‘Banpu NEXT’ เรือธงด้านเทคโนโลยี
นอกเหนือจากการรุกพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทนเพิ่มแล้ว บ้านปูได้นำเทคโนโลยีมาต่อยอดด้านการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงาน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า โดยปัจจุบันได้มีโซลูชันต่างๆ ออกมาให้บริการ เช่น บ้านปู เน็กซ์ อีเฟอร์รี่’ (Banpu NEXT e-Ferry) ซึ่งเป็นเรือท่องเที่ยวไฟฟ้าทางทะเลลำแรกของไทย โดยจะให้บริการบริเวณ 6 ท่าเรือในภูเก็ต และ ‘Banpu NEXT EV Car Sharing’ ซึ่งเป็นสถานีบริการ EV Charging ที่ครบครันทั้งจุดรับ-คืนรถ และจุดชาร์จที่ใช้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น
“การขยายธุรกิจของ Banpu NEXT จะเน้นการเป็นพาร์ตเนอร์กับสตาร์ทอัพ เพื่อพัฒนาโปรเจกต์ร่วมกันมากกว่า โดยเราไม่ได้ขยายไลน์สินค้าให้เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง แต่จะเป็นผู้ร่วมคิดค้นและพัฒนาโซลูชันต่างๆ ให้ตรงความต้องการของผู้ใช้งาน”
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์