แน่นอนว่าการพบกันระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้และลิเวอร์พูลในยุคนี้คือเกมสำคัญที่สามารถจะกลายเป็นจุดตัดสินแชมป์พรีเมียร์ลีกได้
เหมือนในเกมที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้เฉือนเอาชนะลิเวอร์พูลได้ 2-1 ในฤดูกาล 2018-19 ซึ่งเป็นเกมเดียวที่ทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ พ่ายแพ้ในฤดูกาลนั้น และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา คว้าแชมป์ลีกได้แบบสุดมันในบั้นปลาย
และเหมือนกับในฤดูกาลที่แล้ว ที่ลิเวอร์พูลเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่แอนฟิลด์ ทำให้ทิ้งห่างไปเป็น 9 คะแนน และกลายเป็นการกำหนดทิศทางที่ทำให้คล็อปป์และลูกทีมแก้ตัวได้สำเร็จ และคว้าแชมป์ลีกสมัยแรกในรอบ 30 ปีมาครองได้ในที่สุด
อย่างไรก็ดี สิ่งที่อยู่ในความสนใจก่อนการพบกันครั้งนี้กลับเป็นคำถามของฝั่งลิเวอร์พูลที่เพิ่งจะโชว์ฟอร์มร้อนแรงในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ด้วยการบุกถล่มอตาลันตา 5-0
คำถามที่ว่าคือ คล็อปป์จะเลือกใครลงสนามในแดนหน้า ระหว่าง โรแบร์โต เฟียร์มิโน กับ ดีโอโก โชตา
ที่เป็นคำถามขึ้นมา เพราะกองหน้าตัวใหม่เจ้าของค่าตัว 45 ล้านปอนด์จากวูล์ฟส์ กำลังอยู่ในช่วงที่ทำผลงานได้อย่างร้อนแรง โดย 11 วันที่ผ่านมาเขาลงสนาม 4 นัดและทำประตูทุกนัด ยิงรวมถึง 6 ประตู โดยที่ใช้เวลาในสนามทั้งหมดเพียงแค่ 248 นาทีเท่านั้น
นั่นหมายถึงทุก 41 นาทีที่โชตาลงสนาม เขาจะทำได้ 1 ประตู
ผลงานดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมกับอตาลันตา ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงแทนที่ของเฟียร์มิโน ที่ผลงานในระยะหลังตกลงอย่างน่าใจหาย แล้วทำแฮตทริกได้ทันที ทำให้มีกระแสเรียกร้องให้เขายึดตัวจริงใน 3 ประสานแนวรุก
นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ย้ายมาลิเวอร์พูลในปี 2017 และก่อกำเนิด 3 ประสานแนวรุกร่วมกับ ซาดิโอ มาเน และเฟียร์มิโน ที่มีกองหน้าที่สามารถจะเขย่าสถานะของ 3 กองหน้าที่ได้รับการยกย่องว่าเข้าขากันที่สุดในโลกได้
สิ่งที่น่าสนใจคือในเกมกับอตาลันตา กองหน้าชาวโปรตุเกสเหมือนจะเล่นแทนบทบาทของเฟียร์มิโน แต่ในระหว่างเกมแล้วเขาสลับกันยืนกับมาเนตลอดเวลา สร้างปัญหาให้แนวรับคู่แข่งที่เดาทางลำบาก
ในระหว่างเกม โชตาอาจจะไม่ได้ลงมาช่วยเชื่อมเกมมากเท่ากับกองหน้าชาวบราซิล แต่ความสามารถในการชิงจังหวะฉีกแนวรับเพื่อทะลุทะลวงเข้ากรอบเขตโทษทำให้เขาได้ถึง 3 ประตู และความจริงมีโอกาสมากกว่านั้นด้วยซ้ำไป
กระทั่งคล็อปป์เองยังยอมรับผลงานว่า “ยังไม่มีระบบไหนในโลกที่จะป้องกัน 3 กองหน้าของเขาในคืนนี้ได้”
ที่บอกแบบนั้นก็เพราะดูเหมือนเคมีของโชตาจะสามารถเข้ากันได้ดีกับกองหน้าอีก 2 คนอย่างมาเนและซาลาห์ ซึ่งต่างมีความเร็วจัด ความคล่องตัว และความสามารถในการจบสกอร์ ทำให้จับทางได้ค่อนข้างยาก
เมื่อคิดถึงผลงานของเฟียร์มิโนที่ทำได้แค่ 3 ประตูจาก 30 นัดหลัง รวมถึงผลงานในภาพรวมยังดร็อปลงอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประสิทธิภาพในการเล่น ความเฉียบคม หรือแม้แต่จุดเด่นที่สำคัญของเขาอย่างการเป็นตัวนำในการเพรสซิง เรื่องนี้จึงมีน้ำหนักขึ้นอย่างชัดเจน
เฟียร์มิโนและคล็อปป์มีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นในฐานะผู้จัดการทีมและลูกน้องที่ไว้ใจที่สุด
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนคล็อปป์จะไม่ได้มองว่าเฟียร์มิโนเป็นปัญหาของทีม และพยายามออกมาปกป้องลูกทีมคนสำคัญอย่างจริงจัง
ในถ้อยคำของคล็อปป์มีการพูดถึงขั้นว่า “ถ้าไม่มีเฟียร์มิโน ลิเวอร์พูลก็คงไม่ได้มาถึงแชมเปียนส์ลีก”
สำหรับกุนซือชาวเยอรมันแล้ว เฟียร์มิโนคือผู้เล่นคนสำคัญที่สุดชนิดที่ขาดไม่ได้และไม่เคยหาใครทดแทนได้
หลักฐานคือใน 272 เกมที่คล็อปป์คุมทัพ เฟียร์มิโนลงเล่นมากถึง 242 นัด คิดเป็น 89 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนเกมทั้งหมด!
แต่จำนวนเกมที่ลงสนามมากขนาดนี้ ไม่แปลกที่จะมีการมองว่ามีส่วนในการทำให้เฟียร์มิโนเองสภาพร่างกายและจิตใจไม่เต็มร้อย
อีกด้านคือการที่คู่แข่งเองก็รู้วิธีการเล่นและหาวิธีรับมือมาได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้การเล่นร่วมกันระหว่างเขาและซาลาห์กับมาเนไม่มีประสิทธิภาพเหมือนในฤดูกาลก่อนๆ ที่ร้อนแรงราวกับลาวาภูเขาไฟ
แล้วคล็อปป์จะดร็อปเฟียร์มิโนไหมถ้าเป็นเช่นนั้น?
ในความเห็นของนักวิเคราะห์คนดังอย่าง เจมี คาร์ราเกอร์ ซึ่งเป็นตำนานแห่งแอนฟิลด์ด้วยมองว่า ด้วยนิสัยของกุนซือชาวเยอรมันแล้ว การจะดร็อปเฟียร์มิโน หนึ่งในนักเตะที่เขาเชื่อใจมากที่สุดในเกมสำคัญกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก
จุดแข็งของคล็อปป์คือเรื่องสายสัมพันธ์กับผู้เล่น ซึ่งการปกป้องอย่างเต็มที่ของเขาแทบจะเป็นคำตอบกลายๆ ว่า ไม่ว่าอย่างไรเฟียร์มิโนจะมีชื่อออกสตาร์ทในเกมที่เอติฮัด สเตเดียมอย่างแน่นอน
อีกอย่างคือแมนเชสเตอร์ ซิตี้เป็นหนึ่งในทีมที่เฟียร์มิโนถนัดจะเล่นด้วย เรียกว่าเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เพราะทีมคู่แข่งในระดับนี้จะมีพื้นที่ เวลา และโอกาสให้เขาได้แสดงผลงานได้ถนัดถนี่มากขึ้น
เฟียร์มิโนยังมีความสำคัญต่อระบบการเล่นของลิเวอร์พูลเหมือนที่คล็อปป์บอกว่าเขาเป็นเหมือน Engine หรือเครื่องยนต์ของทีม ซึ่งไม่ได้มีหน้าที่แค่การทำประตู แต่ยังรวมถึงการเพรสซิงในแดนบน การเชื่อมเกมรุก ถักทอการเล่นให้คนอื่นในทีม เปิดพื้นที่ เวลา และโอกาสให้คนอื่นในทีม การเล่นแบบคนไม่เคยเห็นแก่ตัวของเขาคือหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่นำลิเวอร์พูลมาถึงจุดนี้ได้
ขณะที่โชตาเองยังไม่เรียกร้องสถานะตัวจริง และยังสามารถถูกส่งลงมาเพื่อใช้เป็นทีเด็ดในยามคับขันของทีมได้
เพียงแต่สุดท้ายแล้วไม่มีใครรู้ใจของคล็อปป์ บางทีเราอาจจะได้เห็นโชตาออกสตาร์ทก่อน หรือทั้งคู่อาจจะออกสตาร์ทพร้อมกันก็เป็นไปได้เหมือนกัน
ในแง่ดีแล้วก็ถือเป็น ‘มิติ’ ใหม่ที่น่าตื่นเต้นสำหรับลิเวอร์พูล และอาจเป็นการส่งสัญญาณอ้อมๆ ในเวลาเดียวกัน
คล็อปป์กำลังจะสร้างทีมชุดใหม่ และโชตาจะเป็นหนึ่งในแกนนำของทีมในอนาคต
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- https://www.thetimes.co.uk/edition/sport/diogo-jota-part-of-liverpools-plan-for-past-four-years-2t8lp7vnq
- https://theathletic.co.uk/2173084/2020/11/04/diogo-jota-liverpool-roberto-firmino/
- https://www.telegraph.co.uk/football/2020/11/06/jurgen-klopp-will-choose-roberto-firmino-diogo-jota-brazilian/
- https://www.thetimes.co.uk/article/diogo-jotas-thrust-puts-heat-on-roberto-firmino-for-manchester-city-clash-vglb2cjf8
- ลิเวอร์พูลจับตามองโชตามาเป็นระยะเวลา 4 ปีแล้วตั้งแต่อยู่กับแอตเลติโก มาดริด ปอร์โต จนมาถึงวูล์ฟส์
- ช่วงต้นปีที่ผ่านมา คล็อปป์ได้นั่งฟังการนำเสนอจากทีมงานถึง 4 ตัวเลือกที่จะเสริมแนวรุก โดยนอกจากโชตาแล้วอีก 3 คนคือ ติโม แวร์เนอร์ (แอร์เบ ไลป์ซิก), อิสไมลาร์ ซาร์ (วัตฟอร์ด) และโจนาธาน เดวิด (เกงค์)
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้อยู่ในอันดับที่ 11 เวลานี้ตามหลังจ่าฝูงเซาแธมป์ตัน 5 แต้มแต่ลงเล่นน้อยกว่า 2 นัด ซึ่งหากชนะลิเวอร์พูลได้ พวกเขาจะมีโอกาสขยับขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 6 ของตารางทันที
- เป๊ป กวาร์ดิโอลา ค้นพบนักเตะกองหน้าจำเป็นคนใหม่เช่นกันคือ เฟร์ราน ตอร์เรส ปีกทีมชาติสเปนที่ซื้อมาจากบาเลนเซีย และลงเล่นแทนที่ของ เซร์คิโอ อเกวโร และ กาเบรียล เฆซุส ที่บาดเจ็บ เพียงแต่เป็นการแก้ปัญหาชั่วคราวเท่านั้น