วันนี้ (6 พฤศจิกายน) ที่จังหวัดสกลนคร มีการเปิดเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) โดย ณรงเดช อุฬารกุล ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.สกลนคร หมายเลข 3 ในนามคณะก้าวหน้าและทีมผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา อบจ. ทั้ง 36 เขต โดยมี ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เดินทางมาร่วมพบปะกับผู้สมัครและร่วมปราศรัยกับประชาชน
ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้า ปิยบุตรพร้อมด้วยทีมงานผู้สมัครทั้งหมด ได้ร่วมกันเดินหาเสียงที่ตลาด ต.การค้า ต่อด้วยตลาดเช้าสกลนคร
ณรงเดชพร้อมด้วยผู้สมัคร ส.อบจ. ทั้ง 36 เขต ขึ้นปราศรัยแสดงวิสัยทัศน์ โดยระบุว่า เมื่อครั้งที่ตนสมัครมาเป็นผู้สมัครนายก อบจ. ในนามของคณะก้าวหน้า ถูกถามถึงวิสัยทัศน์และนโยบาย เป็นครั้งแรกที่การสมัครนายก อบจ. ต้องกลับไปทำการบ้านเรื่องนโยบายมาอย่างหนัก นี่ทำให้ตนได้กลับมาตั้งคำถามว่า เหตุใดจังหวัดสกลนครที่ใหญ่โต มีประชากรถึง 1.15 ล้านคน แต่ไม่พัฒนาเหมือนที่อื่น จนได้มาดูข้อมูล ทำให้พบว่าแทบทุกบ้านส่งลูกหลานไปเรียนที่อื่น เพราะการศึกษาของสกลนครไม่ดีพอ
ที่ผ่านมาสกลนครก็มีการปิดโรงเรียนขนาดเล็กหลายโรงเรียน ทำให้ต้องไปเรียนในเมืองหรือไปเรียนที่จังหวัดอื่น เมื่อจบออกมาก็ไม่มีตำแหน่งงานที่เงินเดือนสูงให้ทำ ต้องย้ายไปหางานที่อื่นทำ ถ้าไม่ได้เป็นข้าราชการก็ต้องไปขายแรงงานในเมืองอื่น ตามหัวเมืองใหญ่ๆ ทำให้สกลนครขาดวัยแรงงาน หมู่บ้านมีคนหนุ่มสาวเหลือน้อย การเกษตรก็มีอัตราการใช้ที่ดินน้อยลง คนที่ออกไปทำงานต่างเมืองก็เป็นแรงงานราคาถูก ไม่สามารถตั้งถิ่นฐานได้ แก่ตัวลงก็ต้องกลับมาอยู่ที่บ้าน มาทำการเกษตรหรือรับจ้าง รับค่าแรงราคาต่ำต่อไป เป็นคนชรา ใช้บริการโรงพยาบาล แพทย์ เครื่องมือการแพทย์ก็ขาดแคลนการพัฒนาอย่างมาก ก็ต้องไปใช้บริการสาธารณสุขในเมืองหรือพื้นที่อื่นที่ไกลออกไป
ณรงเดชกล่าวอีกว่า งบประมาณของ อบจ.สกลนคร ปีละ 900 ล้านบาท ถ้าตัดงบประมาณฝากจ่ายจากส่วนกลางออกไป จะมีไม่น้อยกว่า 350 ล้านบาทที่จะนำมาบริหารได้ สกลนครมี 125 ตำบล ถ้าตนได้เป็นนายก อบจ. จะให้ประชาคมทุกตำบลไปร่วมกันคิดออกแบบนโยบายมา ให้ทุกตำบลมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการกำหนดนโยบายและใช้งบประมาณ
“วันนี้ถ้าบอกว่าต้องการจายอำนาจคือแค่ให้โหวตอย่างเดียวแล้วไม่กระจายเงินหรือไม่กระจายงบประมาณ กระจุกตัวที่นายก อบจ. คนเดียว นั่นไม่ถูกต้อง วันนี้ถ้าอยากกระจายอำนาจต้องกระจายงบประมาณด้วย ไม่ใช่พัฒนาแค่เขตอำเภอเมือง ไม่ใช่พัฒนาแค่เขตอำเภอใหญ่ๆ มันต้องพัฒนาทุกตำบลอย่างเท่าเทียมกัน คนทุกพื้นที่ในจังหวัดสกลนครต้องมีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกัน ประชาธิปไตยจึงเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา” ณรงเดชกล่าว
ด้านปิยบุตรขึ้นปราศรัยปิดท้ายโดยระบุว่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี 9 เดือนที่ตนได้กลับมาปราศรัยหาเสียงอีกครั้งที่จังหวัดสกลนคร ตั้งแต่สมัยที่เป็นพรรคอนาคตใหม่ การส่งคนชิงตำแหน่งนายก อบจ. ในนามคณะก้าวหน้าวันนี้เกิดขึ้นมาได้ ต้องย้อนความกลับไปถึงพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งมีหนึ่งในนโยบายธงคือการกระจายอำนาจ ยุติรัฐราชการรวมศูนย์ เอาอำนาจคืนกลับมาให้ท้องถิ่น วันนั้นเราตั้งใจว่ามีเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อไรเราจะลงสมัครให้ครบทุกจังหวัด
แต่เมื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 7 คนมีคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ไป พร้อมตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 10 ปี หลายคนเสียใจและเสียดายโอกาส รวมถึงคะแนนที่กาให้เรา แต่ถ้าเราหยุดเพียงเพราะเขายุบพรรคและตัดสิทธิ์ นั่นแปลว่าเรายอมแพ้และจะแพ้เขาไปตลอดกาล เราจึงเงยหน้าขึ้นมาใหม่ ยืนตัวตรงขึ้นมาใหม่ ก่อตั้งเป็นคณะก้าวหน้าขึ้นมา และคณะก้าวหน้าจะรับภารกิจของพรรคอนาคตใหม่เดิมในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมดทุกระดับ โดยรอบนี้เราจะเริ่มต้นก่อนที่ระดับ อบจ. เราส่ง 41 จังหวัด จากทั้งหมด 76 จังหวัด และจังหวัดหนึ่งที่เราให้ความสำคัญอย่างมากก็คือสกลนคร
ปิยบุตรกล่าวถึงแนวทางการทำงานด้วยว่า
- เราจะแข่งขันในสนามเลือกตั้งโดยอาศัยนโยบาย ข้อมูล เราจะไม่แข่งกันที่อิทธิพลหรือวงศ์วานว่านเครือของใคร เรายืนยันที่จะแข่งด้วยนโยบาย เป็นจุดเด่นที่สุดที่จะมาขายกับประชาชน เรามีนโยบายที่จะเปลี่ยนแปลงสกลนคร ทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น
- ทำให้เป็นการเมืองของคนสกลนคร ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมได้หมด ใครอยากเป็นผู้สมัครในนามคณะก้าวหน้า ไม่ต้องเป็นเครือข่ายอิทธิพลใหญ่โต ขอเพียงมีอุดมการณ์แบบเดียวกัน ต้องการเปลี่ยนจังหวัดให้ดีขึ้น มีวิสัยทัศน์พัฒนาบ้านเกิด ต่อต้านเผด็จการไปกับเรา ผู้สมัครของเราจึงเป็นคนธรรมดาที่เจอกันได้ทุกวัน และเรายังเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาลงสมัครกับเรา
แม้เป็นที่น่าเสียดายว่าอายุของ นายก อบจ. ตามกฎหมายถูกจำกัดไว้ที่ 35 ปีขึ้นไป แต่เราก็มีคนรุ่นใหม่เข้ามาเติมเต็มเป็นทีม สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) ของเราอย่างคับคั่งในทุกพื้นที่ และที่สำคัญคือนโยบายการทำงบประมาณแบบมีส่วนร่วม ประชาชนทุกคนจ่ายภาษีมากมายที่นำไปสู่งบประมาณในระดับท้องถิ่น แต่ไม่เคยได้มีโอกาสกำหนดว่าจะเอาภาษีไปทำโครงการอะไรบ้าง แต่คณะก้าวหน้ามีวิสัยทัศน์ที่ต่างไปจากนั้น คือเราต้องการให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดงบประมาณว่าในแต่ละพื้นที่ประชาชนต้องการให้เอาไปใช้ในเรื่องไหนบ้าง
- ต่อสู้โดยไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง เราพิสูจน์มาแล้วในวันที่เป็นพรรคอนาคตใหม่ เราไม่ใช้เครือข่ายอิทธิพลและกลไกรัฐ เราได้มา 6.3 ล้านคะแนน เป็นการเขย่าการเมืองไทยในระดับชาติ ว่าการทำการเมืองแบบไม่มีอิทธิพล กลไกรัฐ ไม่มีการซื้อเสียง สามารถประสบความสำเร็จในการเมืองไทยได้ และครั้งนี้เราก็ยังคงยืนยันที่จะใช้วิธีการแบบเดิมในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
ปิยบุตรกล่าวอีกว่า การเมืองท้องถิ่นแบบใหม่ครั้งนี้มีความสำคัญ เราแปลกใจว่าเหตุใดในเมื่อช่วงต้นเดือนมีวันหยุดยาวหลายวันที่ประชาชนที่ไปทำงานต่างเมืองจะกลับมาบ้าน และมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งไปพร้อมกันได้ แต่ทำไมถึงให้ไปเลือกวันที่ 20 ธันวาคมนี้ ดังนั้นถ้าพี่น้องเห็นความสำคัญของการเมืองท้องถิ่นครั้งนี้ เราต้องช่วยกันออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ. ให้มากที่สุด เพราะมีความสำคัญอยู่ 3 ประการ
- เราเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2555 นี่จึงเป็นการเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งแรกในรอบ 8 ปี นี่คือการเลือกตั้งที่เราจะสามารถกำหนดชีวิตของเราใหม่ได้ ถ้าเลือกแบบเดิมเราก็จะได้แบบเดิม ถ้าเลือกแบบใหม่เราก็จะได้ทีมบริหารในสกลนครในแบบใหม่
- ถ้าได้ทีมบริหารที่จะมาทำการเมืองแบบใหม่ให้สกลนคร จะส่งผลต่อการกระจายอำนาจในระดับประเทศ เพราะที่ผ่านมาการกระจายอำนาจถูกโยงไปกับการทุจริต แต่ถ้าเราชนะแล้วเข้าไปทำการเมืองแบบใหม่ได้ ทำการเมืองแบบใสสะอาด ทำเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ เราจะยุติข้ออ้างในการหวงอำนาจไว้ที่ส่วนกลางได้
- การเลือกตั้งท้องถิ่นแม้จะเลือกกันในจังหวัด แต่ก็สะท้อนถึงการเมืองระดับชาติด้วย การเลือกตั้งทุกระดับคือสามารถเป็นพลังในการแสดงออกว่าเราพอใจหรือไม่พอใจกับการบริหารประเทศในปัจจุบัน คณะก้าวหน้ามีจุดยืนชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลชุดนี้ เราสนับสนุนข้อเรียกร้องให้ พล.อ. ประยุทธ์ ต้องลาออก คืนอำนาจสู่ประชาชน ทวงคืนประชาธิปไตย ยุติระบอบ คสช. ที่สืบทอดอำนาจผ่านกลไกรัฐธรรมนูญมา ขณะนี้มีการชุมนุมเกิดขึ้นทั่วประเทศไทยทั่วทุกจังหวัด แสดงออกถึงความไม่พอใจ ถ้าวันที่ 20 ธันวาคม ประชาชนออกมาเลือกผู้สมัครของคณะก้าวหน้าให้ถล่มทลาย นั่นจะเป็นสัญญาณส่งไปที่รัฐบาลว่าคนสกลนครสนับสนุนคณะก้าวหน้า ไม่สนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ และ คสช. ได้ด้วยเช่นกัน
“ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงประเทศไทย เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงที่สกลนคร เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงที่บ้านของท่าน เปลี่ยนการเมืองไทยไปด้วยกัน เปลี่ยนท้องถิ่นไทยไปด้วยกัน เปลี่ยนสกลนครไปด้วยกัน เราเขย่าการเมืองระดับชาติมาเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ธันวาคมปีนี้ขออีกรอบ เขย่าท้องถิ่นไทย เขย่าสกลนคร เปลี่ยนสกลนครไปด้วยกัน” ปิยบุตรกล่าวทิ้งท้าย
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า