พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึงกรณีที่ศาลสั่งปิดแพลตฟอร์มทั้งเว็บไซต์และเพจเฟซบุ๊กของ Voice TV ว่า กระทรวงไม่ได้มีนโยบายปิดกั้นสื่อหรือดำเนินการเฉพาะใคร หรือมีเจตนาอื่น แต่เกิดจากการที่ตำรวจซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบควบคุมสถานการณ์ และการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ที่มีความร้ายแรงในขณะนี้
ซึ่งต่างจากสถานการณ์ปกติ และมีข้อที่เกี่ยวกับการเผยแพร่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง การยุยง ปลุกปั่น เนื้อหาผิดกฎหมาย และหากเข้าข่ายตามกรอบความมั่นคง ทางตำรวจก็จะแจ้งมายังกระทรวงเพื่อให้รวบรวมข้อมูลเพื่อส่งศาลตามกระบวนการยุติธรรม เมื่อศาลมีคำสั่ง ทางกระทรวงก็จะแจ้งกลับไปยังตำรวจ ตำรวจจึงแถลงในรายละเอียดตามที่เห็น
พุทธิพงษ์ยืนยันว่า ทางกระทรวงไม่มีนโยบายเจาะจงว่าเป็นสื่อหรือไม่ มีโพสต์อื่นๆ ที่ยื่นส่งศาลไป ทั้งที่เป็นนักข่าวและไม่ใช่ โดยอะไรที่เข้าข้อกฎหมายและผิดจริงๆ ตนก็ไม่ได้อยากดำเนินคดี แต่เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย
ส่วนกรณีอีก 3 สื่อยังไม่มีคำสั่ง ซึ่งกระทรวงไม่ได้มีอำนาจ เมื่อส่งไปศาล หากศาลมีคำสั่งก็แจ้งต่อ หลายอันเป็นการโพสต์ภาพต่อกันมา เมื่อมีคำสั่งก็ได้ติดต่อไปทุกหน่วยทุกสำนักงาน แจ้งว่าหากมีอะไรที่ลบได้ ไม่ได้มีเจตนา มีความสุ่มเสี่ยง เราก็แจ้งเตือน หากไม่หยุดเราก็ต้องส่งต่อ
ทั้งนี้จากข้อมูลที่ตรวจสอบทั้งหมด พุทธิพงษ์ระบุว่า ได้ดำเนินการส่งศาลหมด ส่วนในการพิจารณาหรือคำสั่งศาลนั้น ทางกระทรวงไม่สามารถก้าวก่ายหรือก้าวล่วงได้ มีหลายชิ้นที่ยังไม่ได้นำเสนอ แต่ก็ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายทั้งหมด ไม่ได้ดูว่าเป็นใคร แต่ส่งเท่าที่มีข้อมูลหลักฐาน และคำสั่งศาลอาจลงมาไม่พร้อมกัน โดยพยายามรวบรวมและรายงานให้ ภาพรวมตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่เข้าข่ายตามกรอบกฎหมายมีประมาณ 400,000 กว่า URLs โพสต์ที่เห็นเป็นหลักฐานทั้งหมด ให้เจ้าหน้าที่คัดกรองตรวจสอบที่เข้าข่ายความผิดและทยอยดู ไม่ได้เลือกปฏิบัติหรือเจาะจง
ขณะเดียวกันข้อมูลที่ส่งไปแล้วและมีคำสั่งศาลออกมา ทุกอย่างต้องเดินหน้าต่อไปตามกระบวนการยุติธรรม ส่วนกรณีอื่นๆ พยายามอธิบายขั้นตอนตามที่เข้าใจ ด้วยความเป็นสื่อมวลชน แต่ละคนทราบดีว่าอะไรทำได้ ทำไม่ได้ เพราะวงการสื่อมวลชนมักจะรู้กฎหมายอยู่แล้ว แต่หากยังละเมิด เราก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
พุทธิพงษ์กล่าวทิ้งท้ายว่า “การไลฟ์สดสามารถทำได้ แต่หากไลฟ์สดแล้วมีข้อมูลเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมปรากฏอยู่ในไลฟ์ หากเป็นไปได้ก็ไม่ควรไลฟ์สดตอนนั้น อาจจะเอาลง ปิดเสียง เพื่อไม่ให้เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหรือเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดกฎหมาย เพราะจะถือว่ามีความผิดด้วย เมื่อพูดว่าสื่อ หลายๆ คนทำตัวเป็นสื่อออนไลน์ ตามที่มีชื่อในคำสั่งจากตำรวจว่าเป็นกรณีที่มีความสุ่มเสี่ยง เรามีหน้าที่เก็บรวบรวมหลักฐานและส่งไป ‘ที่เหลือขึ้นอยู่กับทางศาลจะพิจารณา’
“ส่วนกรณีที่ Voice TV ต้องดูว่าคำสั่งศาลออกมาว่าอย่างไร หากต้องการเปิดบัญชีใหม่ ช่องทาง เพจใหม่ โดยไม่ได้ละเมิดกฎหมาย ก็ถือว่าสามารถทำได้”
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า