วันนี้ (22 กรกฎาคม) สหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงถึง 4 ล้านราย โดยรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นรัฐที่ 2 ของประเทศต่อจากรัฐนิวยอร์กที่มีผู้ป่วยสะสมแตะ 4 แสนราย ตามมาด้วยรัฐฟลอริดา (ราว 3.7 แสนราย) รัฐเท็กซัส (ราว 3.5 แสนราย) และรัฐนิวเจอร์ซีย์ (ราว 1.8 แสนราย) โดยมียอดผู้เสียชีวิตสะสมแล้ว 141,896 รายทั่วประเทศ
การแพร่ระบาดกำลังก้าวเข้าสู่เดือนที่ 7 ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อสะสมเกิน 15 ล้านรายแล้ว (15,084,425 ราย) รักษาหายกว่า 9.1 ล้านราย (9,104,115 ราย) หรือคิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อทั้งหมด เสียชีวิตแล้ว 618,482 ราย อัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 4.1% โดยพบผู้ติดเชื้อเพิ่มเกินวันละ 1 แสนรายติดต่อกันนานถึง 56 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา
สหรัฐอเมริกายังเป็นประเทศที่พบผู้ติดเชื้อสะสมมากที่สุดในโลก (4,028,416 ราย) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 66,987 รายในวันเดียว ตามมาด้วยบราซิล (2,159,654 ราย) อินเดีย (1,194,085 ราย) รัสเซีย (783,328 ราย) แอฟริกาใต้ (381,798 ราย)
ทางด้าน แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ระบุว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยอมรับว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะเลวร้ายลงก่อนที่จะดีขึ้น จุดยืนดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่ผู้นำสหรัฐฯ ทำก่อนหน้านี้ รวมถึงวาทกรรมต่างๆ เป็นข้อผิดพลาด
“เขายอมรับว่าสิ่งที่เขาเคยทำเป็นข้อผิดพลาด ด้วยการเริ่มแนะให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย และยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องหลอกลวง เป็นโรคระบาดที่สถานการณ์จะเลวร้ายลงก่อนที่จะค่อยๆ ดีขึ้น เพราะความเฉื่อยชาของเขา รวมถึงสิ่งที่เรียกว่าทรัมป์ไวรัส
“ถ้าเขาพูดแนะประชาชนหลายเดือนก่อนหน้านี้ให้สวมหน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่างทางสังคม ผู้คนจำนวนมากก็จะปฏิบัติตามคำแนะนำของเขา เพราะเขาเป็นประธานาธิบดีของประเทศนี้”