ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ส่งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจากส่วนกลางไปช่วยควบคุมสถานการณ์ในเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ มากขึ้น หลังการประท้วงต่อต้านการเหยียดผิวในหลายเมืองยังไม่ยุตินับตั้งแต่การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์
ท่าทีของทรัมป์มีขึ้นเมื่อวานนี้ (20 กรกฎาคม) ระหว่างการให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบขาว โดยเขาวิจารณ์ว่าเมืองที่ยังคงมีการประท้วงนั้นเป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลท้องถิ่นพรรคเดโมแครต ซึ่งรวมถึงชิคาโก นิวยอร์ก ฟิลาเดลเฟีย ดีทรอยต์ บัลติมอร์ และโอ๊กแลนด์ พร้อมระบุว่าผู้นำของเมืองเหล่านี้กลัวที่จะจัดการกับกลุ่มผู้ประท้วง
“เราจะส่งเจ้าหน้าที่บังคับกฎหมายไป เราจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเมืองต่างๆ เราจะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดในประเทศของเรา ในทุกที่ที่บริหารโดยรัฐบาลท้องถิ่นลิเบอรัล เดโมแครต” ทรัมป์กล่าว
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังยกตัวอย่างการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนกลางไปยังรัฐออริกอน ซึ่งเมืองใหญ่อย่างพอร์ตแลนด์เกิดการประท้วงต่อเนื่องหลายวัน โดยทรัมป์ชี้ว่าเจ้าหน้าที่ส่วนกลางสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม และคืนความสงบเรียบร้อยได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ความเห็นของทรัมป์สวนทางกับท่าทีจากตำรวจท้องถิ่นในเมืองพอร์ตแลนด์ ซึ่งระบุว่ากองกำลังตำรวจจากส่วนกลาง มีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
ขณะที่ผู้ว่าการรัฐออริกอนเรียกร้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์ถอนกำลังเจ้าหน้าที่ส่วนกลางออกไปจากเมืองพอร์ตแลนด์ และกล่าวหาทรัมป์ว่าพยายามขยายสถานการณ์วุ่นวายจากการประท้วงเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ท่ามกลางการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่กำลังจะมาถึงในปลายปีนี้ ซึ่งทรัมป์ตอบโต้ผู้ว่าการรัฐออริกอน นายกเทศมนตรีเมืองพอร์ตแลนด์ และ ส.ส. ในรัฐออริกอนหลายคนว่าหวาดกลัวพวกอนาธิปไตยที่กำลังก่อความวุ่นวาย
“พวกเขากลัวคนเหล่านี้ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ต้องการให้เราเข้าไปช่วย” ทรัมป์กล่าว
ทั้งนี้ ท่าทีของผู้นำสหรัฐฯ มีขึ้นในขณะที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ วางแผนที่จะส่งกองกำลังความมั่นคงไปยังชิคาโกในสัปดาห์นี้ เพื่อช่วยเหลือกำลังตำรวจส่วนกลางและตำรวจท้องถิ่น ในการรับมือการก่อความวุ่นวายของกลุ่มผู้ประท้วงหัวรุนแรง ซึ่งที่ผ่านมาทรัมป์กล่าวหาว่าผู้นำของเมืองชิคาโกล้มเหลว ในการควบคุมการก่ออาชญากรรมของกลุ่มผู้ประท้วง และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตำรวจชิคาโกเปิดเผยว่ามีผู้ถูกยิงภายในเมืองถึง 64 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิต 11 คน
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: