เกิดอะไรขึ้น:
วานนี้ (11 มิถุนายน) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) ปรับตัวลง 5.89%DoD สู่ระดับ 3,002.10 จุด เนื่องจากนักลงทุนเริ่มกลับมากังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจรุนแรงมากขึ้นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบ 2 ในสหรัฐฯ หลังจากที่บางรัฐได้ผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงเหตุการณ์ประท้วงในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดการแพร่ระบาดมากขึ้น โดยล่าสุดจำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.09 ล้านคน จากผู้ติดเชื้อรวมทั่วโลก 7.6 ล้านคน
นอกจากนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้ปัจจัยลบกดดันจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่คาดการณ์ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะอ่อนแอลง อีกทั้งยังมีการประกาศลดวงเงินมาตรการ QE ลงด้วย
กระทบอย่างไร:
วันนี้ (12 มิถุนายน) ตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปรับตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงเช้า ทำจุดต่ำสุดที่ 1,353.69 จุด ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงบ่าย หลัง ศบค. มีมติเห็นชอบผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เฟส 4 และยกเลิกมาตรการเคอร์ฟิวในประเทศ โดยวันนี้ดัชนีปิดที่ระดับ 1,382.56 จุด ลดลง 14.21 จุด หรือลดลง 1.02%DoD โดยหุ้นที่กดดันต่อดัชนีในวันนี้ ได้แก่
- ราคาหุ้น บมจ. ปตท. (PTT) ลดลง 3.25%DoD สู่ระดับ 37.25 บาท มีผลต่อดัชนี -3.32 จุด
- ราคาหุ้น บมจ. ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ลดลง 4.02%DoD สู่ระดับ 107.50 บาท มีผลต่อดัชนี -1.00 จุด
- ราคาหุ้น บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ลดลง 2.67%DoD สู่ระดับ 91.00 บาท มีผลต่อดัชนี -0.92 จุด
- ราคาหุ้น บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ลดลง 2.60%DoD สู่ระดับ 84.25 บาท มีผลต่อดัชนี -0.71 จุด
- ราคาหุ้น บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ลดลง 1.65%DoD สู่ระดับ 358.00 บาท มีผลต่อดัชนี -0.67 จุด
มุมมองระยะสั้น:
SCBS มองว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสปรับตัวลงต่อ เนื่องจากปัจจุบัน SET มี Valuation ที่ตึงตัว โดยซื้อขายที่ P/E ปี 63F ราว 21.1 เท่า สูงที่สุดในอาเซียน ขณะที่ค่าเฉลี่ยในประเทศกลุ่มอาเซียนอยู่ที่ 18.8 เท่า
นอกจากนี้ปัจจัยสนับสนุนหรือมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจต่างๆ ในระยะถัดไป คาดว่าจะเริ่มเหลือน้อยลง และอาจไม่ได้ช่วยทำให้ตลาดเกิดความคาดหวังเชิงบวกมากดังเช่นที่เกิดขึ้นเท่าช่วงก่อนหน้านี้
ในมุมมองทางเทคนิค SCBS ประเมินว่า หากดัชนีไม่สามารถยืนเหนือระดับ 1,374 จุด จะเป็นสัญญาณลบทางเทคนิค และอาจเห็นการปรับฐานได้ โดยแนวรับถัดไปอยู่ที่ระดับ 1,350-1,360 จุด ซึ่งเป็น Gap ที่เคยเปิดไว้ และรอปิด
มุมมองระยะยาว:
แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทยดูเหมือนจะเบาบางลงและสามารถควบคุมได้แล้ว แต่ด้วยโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยที่เน้นการพึ่งพาชาวต่างชาติ เช่น การท่องเที่ยว และการส่งออก ย่อมฉุดรั้งให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันต่อภาพรวมทิศทางผลประกอบการของบริษัทต่างๆ เช่นกัน
นอกเหนือจากปัจจัยกดดันจากโควิด-19 แล้ว SCBS มองว่า ทิศทางของการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกอาจเผชิญกับความไม่แน่นอนมากขึ้นจาก
- การลดทอนการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการการเงินและการคลังของสหรัฐฯ
- ความเสี่ยงของสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ และจีน
- การประท้วงเรื่องเชื้อชาติในสหรัฐฯ ที่รุนแรงขึ้น
- การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อาจเข้มข้นขึ้น หากผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตได้คะแนนนำ ซึ่งอาจทำให้ตลาดกลับมากังวลเรื่องการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนอีกครั้ง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่นักลงทุนคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
