เมื่อวานนี้ (7 มิถุนายน) นายกรัฐมนตรีลีเซียนลุงของสิงคโปร์ สรุปสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศ พร้อมชี้จุดแข็งของสิงคโปร์ในการเตรียมเผชิญความท้าทายต่างๆ ในโลกหลังโควิด-19 ในการแถลงแผนการของรัฐบาลสิงคโปร์ที่จะถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 7-20 มิถุนายนนี้ โดยจะไล่เลียงไปตามแต่ละกระทรวง แต่ละมิติ เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และความเชื่อมั่นในภาคส่วนต่างๆ ของสิงคโปร์
ผู้นำสิงโปร์ระบุว่า ขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมอีกครั้ง อัตราการเพิ่มของผู้ป่วยรายใหม่ลดลง เป็นเพราะความร่วมมือของภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะชาวสิงคโปร์และแรงงานต่างชาติ ที่ช่วยทำให้สถานการณ์โดยรวมดีขึ้น อัตราการตายน้อยลง ส่งผลให้สิงคโปร์ยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตต่ำที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบัน โดยติดเชื้อสะสมเกือบ 3.8 หมื่นราย แต่เสียชีวิตเพียง 25 รายเท่านั้น
สิ่งที่สิงคโปร์จะทำคือการก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดระลอกใหม่ และการประกาศ Circuit Breaker รอบสอง โดยจะเดินหน้าตรวจหาการติดเชื้อและติดตามกลุ่มเสี่ยงอย่างจริงจังต่อไป เพื่อหากมีกรณีที่คลัสเตอร์ใหม่เกิดขึ้น รัฐบาลจะได้เตรียมรับมือการระบาดได้อย่างทันท่วงที หากสถานการณ์โดยรวมยังคงดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลจะผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มทางสังคม และอนุญาตให้กลับมาทำกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่สาธารณะได้เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ โดยทุกคนจะยังคงต้องรักษาความสะอาด หมั่นล้างมือสม่ำเสมอ สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม และหลีกเลี่ยงการรวมตัวหมู่มากในช่วงเวลานี้ รวมถึงต้องปรับตัวให้เข้ากับความปกติใหม่ในมิติต่างๆ ของการดำเนินชีวิต เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
โควิด-19 ไม่เพียงแต่จะเป็นประเด็นทางด้านสาธารณสุข แต่ยังเกี่ยวโยงอยู่กับมิติอื่นๆ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลหลายประเทศทุ่มงบจำนวนมหาศาลเพื่อโอบอุ้มธุรกิจและภาคส่วนต่างๆ ในประเทศให้ยังคงพอที่จะขับเคลื่อนไปได้ในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากพิษโควิด-19 ในปีนี้ GDP ของสิงคโปร์จะหดตัวลง 4-7% รัฐบาลอัดฉีดเงินเกือบ 1 แสนล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 2.25 ล้านล้านบาท) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจโลกอาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่เคย ผู้คนจะถูกจำกัดการเดินทางเพิ่มมากขึ้น การเดินทางระหว่างประเทศจะลดลง ธุรกิจที่พึ่งพาการเดินทางอย่างการท่องเที่ยว การโรงแรม และการบิน จะใช้เวลาอีกสักระยะกว่าจะฟื้นตัว งานบางงานอาจจะหายไป แรงงานจะต้องเรียนรู้สกิลใหม่ๆ โดยไม่กี่ปีนับจากนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับพวกเราทุกคน
แม้จะต้องเผชิญความท้าทายมากมาย แต่นายกรัฐมนตสิงคโปร์ยังคงมั่นใจว่า สิงคโปร์จะก้าวผ่านมันไปได้ เป็นสิงคโปร์ที่แข็งแกร่งและเติบโตขึ้นท่ามกลางวิกฤต ระบุให้พลเมืองจงอย่ากลัวและอย่าสูญเสียกำลังใจในช่วงเวลานับจากนี้ พร้อมเน้นย้ำถึงจุดแข็งที่จะช่วยทำให้สิงคโปร์ผ่านพ้นวิกฤตและความท้าทายต่างๆ ไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการมีเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง แม้การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศจะหดตัวลง แต่ใช่ว่าจะหยุดชะงักแทบทั้งหมด ตลาดและช่องทางใหม่ยังคงเกิดขึ้นเสมอ
อีกทั้งการวางยุทธศาสตร์ต่างๆ เพื่ออนาคตล่วงหน้า เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของสิงคโปร์ที่จะช่วยให้เราปรับตัวในโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายนี้ได้ รวมถึงการที่รัฐบาลสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับการจัดหาและจัดจ้างงานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนช่วงอายุ 40-50 ปีที่ยังคงมีภาระมากมาย รวมถึงคนช่วงก่อนวัยเกษียณที่ยังอยากจะอยู่ในตลาดแรงงานอีกสักระยะและบัณฑิตจบใหม่ทั้งหลาย ซึ่งมีการจัดตั้ง National Jobs Council มาดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ
รัฐบาลสิงคโปร์ได้เน้นย้ำว่า สิ่งที่เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความยืดหยุ่นต่อวิกฤตปัญหาของคนในชาติ ที่ไม่ว่าจะเผชิญความยากลำบากมากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง สิงคโปร์ก็ยังคงมองไปข้างหน้าเสมอ สิงคโปร์จะยังคงเป็นสังคมที่ชอบธรรมและยุติธรรมที่ทุกคนสามารถทำตามความฝันได้ รัฐบาลและการร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ จะนำพาให้สิงคโปร์ไปสู่เป้าหมายที่มันควรจะเป็นได้ เราต้องการทำงานร่วมกับทุกคน ให้ประเทศนี้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้ปลอดภัยและทำให้สิงคโปร์เติบโตขึ้นไปอีกขั้นในประชาคมโลก
ภาพ: Suhaimi Abdullah / Getty Images
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
