เมื่อวานนี้ (8 พฤษภาคม) กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่เคยผ่านงานฟื้นฟูการบินไทยในช่วงปี 2552 และ 2553 เปิดเผยว่าการบินไทยต้องปรับสู่ New Normal โดยเจ้าตัวระบุว่าเห็นด้วยกับการฟื้นฟูการบินไทยให้เป็น ‘บริษัทชั้นนำ’ ของประเทศ แต่หากจำเป็นต้องอุ้มด้วยเงินภาษี ข้อแลกเปลี่ยนคือ
- การบินไทยต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
- ผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้เดิมต้องแบ่งรับภาระความเสียหาย เงินภาษีที่จะใช้ต้องมีสิทธิเหนือเงินส่วนอื่นทั้งหมดในบริษัท
ก่อนโควิด-19 การบินไทยก็มีสถานะทางการเงินที่ร่อแร่อยู่แล้ว ขาดทุนปีละกว่าหมื่นล้าน ทั้งๆ ที่ตั๋วโดยสารแพงกว่าคนอื่น แถมอัตราผู้โดยสารก็อยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมาตรฐานบริการที่ดี
แต่เมื่อโลกมีวิกฤต เราต้องวิเคราะห์กันต่อว่าหลังโควิด-19 จะเป็นอย่างไร จำนวนผู้โดยสารจะลดลงเท่าไร และบริษัทจะต้องปรับลดค่าใช้จ่ายอย่างไรจึงจะอยู่รอด ลำพังเพียงการบริการที่ดีไม่สามารถช่วยบริษัทได้ แต่ต้องมีระบบบริหารที่มีประสิทธิภาพด้วย
“ความเป็นจริงทางการเงิน สถานะวันนี้ของการบินไทยจะเรียกว่า ‘เจ๊ง’ ก็ไม่ผิดครับ เพราะทุนติดลบ เงินสดก็ติดลบ (ซึ่งแม้รวมวงเงินกู้ทั้งหมดที่มีก็ยังไม่พอใช้เกินสิ้นเดือนหน้า) ดังนั้นตามปกติหากใครจะใส่เงินเข้าบริษัทเพิ่มเติม เขาต้องตั้งคำถามกับผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น และเจ้าหนี้เดิมว่า ‘แล้วพวกคุณจะช่วยรับภาระอย่างไร’ คงไม่มีใครให้เงินเฉยๆ ไม่ว่าจะเป็นในรูปของหุ้น เงินกู้ หรือการค้ำประกันเงินกู้ (โดยเฉพาะถ้าเงินนั้นเป็นเงินภาษีประชาชน)”
กรณ์ยกข้อมูลเปรียบเทียบโดยระบุว่า ทาง IATA ประมาณการว่ารายได้ธุรกิจการบินทั่วโลกจะลดลง 55% ในปี 2020 และจะใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะฟื้น และล่าสุด British Airways ประกาศลดพนักงาน 12,000 คน หรือ 30% ของพนักงานทั้งหมด ส่วน SAS มีแผนลดพนักงาน 5,000 คน
“ท่านนายกฯ บอกว่าการอุ้มครั้งนี้ ‘เป็นครั้งสุดท้าย’ ผมมองน่าจะเป็นเพราะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดที่จะคำ้ประกันเงินกู้ 50,000 ล้านบาทอย่างกว้างขวาง ซึ่งหากท่านนายกฯ จะช่วยจริง ท่านควรต้องยืนยันชัดๆ ให้ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น และเจ้าหนี้ทุกคนมีส่วนช่วยลดภาระของบริษัทลงด้วย
“ยกตัวอย่างกรณีที่นอร์เวย์ รัฐบาลเขาได้กำหนดสัดส่วนทุนต่อหนี้ขั้นต่ำไว้ที่ 8% เป็นเงื่อนไขก่อนที่รัฐจะยอมค้ำประกันหนี้ใหม่ให้ เจ้าหนี้เดิมจึงต้องยอมแปลงหนี้เป็นทุน และนอกจากนั้นยังมีเงื่อนไขให้ผู้ถือหุ้นเดิมเพิ่มทุนก่อนด้วย ทั้งหมดนี้เพื่อให้มีการแบ่งรับภาระ ไม่ใช่ได้เงินภาษีไปโดยไม่ต้องร่วมรับผิดชอบ ซึ่งนี่คือหลักการที่ไม่ถูกต้องนัก
“ท่านนายกฯ คงทราบดีว่าปัจจุบันการบินไทยมีค่าใช้จ่ายอยู่เดือนละกว่า 1 หมื่นล้านบาท (โดยไม่มีรายได้) ดังนั้นหากไม่สามารถกลับมาสร้างรายได้โดยเร็ว หากไม่มีการปรับโครงสร้างทุนและหนี้สินของบริษัท วงเงิน 50,000 ล้านบาทนี้ไม่นานก็หมด ซึ่งก็จะกลายเป็นการสูญเสียเพิ่มเติมของรัฐอย่างสูญเปล่า
“ท่านนายกฯ ได้รับรู้ปัญหาการบินไทยมา 5 ปีแล้ว ท่านได้ตั้งคณะกรรมการซูเปอร์บอร์ดขึ้นมาเพื่อพิจารณาแผนฟื้นฟูการบินไทยและรัฐวิสาหกิจอื่นๆ แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ขณะนี้ยังแทบไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถเลยด้วยซ้ำไป ‘ครั้งสุดท้าย’ นี้จะมีอะไรแตกต่างอย่างไรครับ คนไทยมีสิทธิ์ได้รับคำชี้แจงว่าท่านนายกฯ มีแผนอะไรที่จะทำให้การบินไทยดีขึ้นได้จริง
“เราทุกคนเฝ้ารอเพื่อเอาใจช่วยการบินไทยในฐานะลูกค้าที่ซื่อสัตย์ แต่ในฐานะผู้เสียภาษี หากไม่มีความชัดเจนว่าการบินไทยจะฟื้นฟูอย่างไร รัฐบาลก็ไม่ควรเข้าไปแบกภาระเพิ่มเติม”
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์