วันนี้ (10 มีนาคม) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับส่วนราชการจังหวัด หน่วยงานสาธารณสุข เพื่อชี้แจงมาตรการแนวทางปฏิบัติหลังตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์ก่อนการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) จะเป็นมาตรการคุมเข้มคัดกรองผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศตั้งแต่สนามบินต้นทาง ต้องมีใบรับรองแพทย์ก่อนออกตั๋วเดินทาง จากนั้นเมื่อเข้าสู่ประเทศไทย หากพบว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจะต้องลงทะเบียนแอปพลิเคชันติดตามตัวเพื่อเฝ้าดูอาการ รวมถึงผู้ที่ถูกกักตัวอยู่ในขณะนี้ด้วยเช่นกัน โดยทุกคนจะต้องยินยอมให้ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวด้วย โดยคาดว่าจะเริ่มทดลองใช้ในสัปดาห์หน้า
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังได้สอบถามแต่ละจังหวัดเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาด ปริมาณหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือ โดยเฉพาะในสถานพยาบาลว่าเพียงพอหรือไม่ ซึ่งทุกจังหวัดให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ส่วนกรณีแรงงานไทยที่ไปทำงานทำผิดกฎหมายเสี่ยงชีวิตในประเทศเกาหลีใต้ ตอนนี้สามารถตามตัวมาลงทะเบียนครบหมดแล้ว เขื่อว่าไม่มีปัญหา ควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ขอร้องอย่าหลบหนีอีก
นายกรัฐมนตรีบอกว่าวันนี้มาเยี่ยมให้กำลังใจผู้ปฏิบัติงานที่อยู่เฝ้าติดตามโรค จากที่เห็นความตั้งใจของทุกคน มั่นใจมากว่าเราจะสามารถผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างเป็นรูปธรรมภายในปีนี้ คงไม่ยาวไปถึงปีหน้า ซึ่งวันนี้ตนเองได้ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานทั้งในส่วนของหน้ากากและความเสี่ยงจากปฏิบัติงาน โดยอาจแบ่งเงินที่รับบริจาคมาใช้เป็นค่าเสี่ยงภัยให้กับเจ้าหน้าที่ตามหลักเกณฑ์เหมือนกับสถานการณ์กราดยิงที่จังหวัดนครราชสีมา ส่วนหลังจากนี้ต้องนำมาตรการที่เหมาะสมมาดำเนินการตามลำดับ โดยเฉพาะหน้ากากอนามัยจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับบุคคลที่ต้องใช้ ผู้ที่ไม่ติดเชื้อสามารถใช้หน้ากากผ้าแทนได้ เนื่องจากความสามารถในการผลิตมีจำนวนจำกัดไม่เกิน 36 ล้านชิ้นต่อเดือน เพราะวัตถุดิบบางอย่างรับมาจากประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีระบุว่ายังไม่สามารถประเมินได้ว่าโควิด-19 จะอยู่ในประเทศไทยนานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ภายนอก แต่ที่แน่นอนคือเชื้อไวรัสเหล่านี้กลัวความร้อน และขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว จึงหวังว่าการแพร่ระบาดจะลดลง แต่ให้ประกาศว่าจะหยุดเมื่อไรคงไม่ได้ สิ่งสำคัญคือการควบคุมการแพร่ระบาดและความเข้มแข็งในการดูแล หากเราไม่ได้อะไรเลย พูดจาบิดเบือน นอกจากไม่มีอะไรดีขึ้นยังทำให้เกิดโรคใหม่ก็คือความขัดแย้งตามมา