ดัชนีตลาดหุ้นไทย หรือ SET Index วันนี้ (15.19 น.) แม้จะพลิกกลับเป็นบวกที่ 1,442.91 จุด เพิ่มขึ้น 7.35 จุด แต่สถานการณ์เมื่อวานนี้ (24 กุมภาพันธ์) ที่หุ้นไทยร่วงลงกว่า 59 จุด ส่งผลให้ SET Index ปิดตลาดที่ระดับ 1,435.56 จุด ต่ำสุดในรอบหลายปีจนทำให้หลายคนใจหาย
ซึ่งสาเหตุที่ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงก็มาจากตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลดลงจากความกังวลว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่หุ้นไทยจะเป็นอย่างไร และนักลงทุนควรลงทุนแบบไหน
KTBST ชี้ตลาดหุ้นไทยต้องเตรียมใจกับ 3 เรื่องใหญ่
มงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST เปิดเผยกับ THE STANDARD ว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาถึงตอนนี้ตลาดหุ้นไทยต้องเจอกับ 3 เรื่องใหญ่คือ
1.สถานการณ์การเมืองในประเทศไทยที่ไม่ชัดเจน
2.กำไรตลาดที่ปรับลดลง โดยทั้งสองเรื่องนี้ตลาดยังสามารถคาดเดาสถานการณ์ได้ เห็นได้จากช่วงที่มีข่าวการยุบพรรคอนาคตใหม่เป็นไปตามที่ตลาดคาด ทำให้เกิดผลตอบรับที่ดี
3.โรคโควิด-19 กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ เพราะทวีความรุนแรงขึ้นจนแพร่ระบาดไปยังสหรัฐอเมริกา ยุโรป ฯลฯ ทำให้นักลงทุนทั้งไทยและทั่วโลกเจอความเสี่ยงที่มากขึ้น
“ตลาดหุ้นไทยที่ปรับลดลงจากสถานการณ์โรคโควิด-19 จะรุนแรงที่สุดในช่วงวันแรกๆ ดังนั้นคาดว่าตั้งแต่เมื่อวานนี้ถึงสัปดาห์หน้าจะเห็นจุดต่ำสุดของปีนี้ ส่วนหนึ่งเพราะตลาดเริ่มรับรู้ผลที่เกิดขึ้นและปรับตัวได้ แต่หากการแพร่ระบาดยังรุนแรงขึ้นหรือมีสถานการณ์อื่นๆ อาจทำให้ดัชนีหุ้นปรับลดลงเช่นกัน”
ทั้งนี้คาดการณ์ว่าผลกระทบจากโรคโควิด-19 เบื้องต้นหากมีผลกระทบจำกัดในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 จะส่งผลกระทบต่อกำไรตลาดราว 20,000 ล้านบาท (หรือ 1.9 บาทต่อหุ้น) ซึ่งล่าสุดทาง KTBST ประเมินว่ากำไรสุทธิจะอยู่ที่ 932,441 ล้านบาท ลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะอยู่ 980,395 ล้านบาท ขณะที่ดัชนี SET Index ปีนี้ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นโดยมีกรอบเป้าหมายอยู่ที่ 1,630-1,670 จุด ส่วนหนึ่งเพราะหากไม่รวมผลกระทบโรคโควิด-19 ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวก เช่น งบประมาณภาครัฐที่จะออกมาเพิ่มเติมในช่วงครึ่งปีหลัง 2563
โกลเบล็กแนะลงทุนทองคำ-หุ้นปันผลสูง-หุ้นได้ประโยชน์บาทอ่อน
วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่าภาพรวมไทยจะมีผลเชิงบวกระยะสั้น เช่น การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 คาดว่าจะออกมาในเดือนมีนาคมนี้หลังการประกาศราชกิจจานุเบกษา ด้านเงินบาทที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับต้นปีจะส่งผลดีต่อการส่งออก ดังนั้นแนะนำการจัดพอร์ตการลงทุนในทองคำที่ 30% ลงทุนในหุ้น 20% และถือครองเงินสด 50% โดยมีหุ้นแนะนำ ได้แก่
- หุ้นได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า ได้แก่ TU และ CPF
- หุ้น Defensive Stock ได้แก่ RATCH, TTW, ADVANC และ CHG
- หุ้นปันผลสูง ได้แก่ KKP, TISCO และ INTUCH
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์