×

ญี่ปุ่นปรับขึ้น ‘ภาษีบริโภค’ จาก 8% เป็น 10% ความเสี่ยงที่รัฐบาลต้องรับมือ เพราะอาจนำมาซึ่ง ‘ภาวะถดถอย’ ทางเศรษฐกิจ

01.10.2019
  • LOADING...
ภาษีบริโภค

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • 1 ตุลาคม 2019 เป็นวันแรกที่ภาษีบริโภคของญี่ปุ่น หรือ Consumption Tax ปรับขึ้นจาก 8% เป็น 10% การเพิ่มขึ้นนี้ครอบคลุมถึงสินค้าและบริการส่วนใหญ่ ตั้งแต่อาหาร เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงการขนส่งและค่ารักษาพยาบาล
  • สาเหตุสำคัญที่ต้องขึ้นภาษีคือนำเงินมารับมือกับสังคมสูงวัยซึ่งกำลังกัดกินเศรษฐกิจของแดนซามูไร ด้วยปัจจุบันกว่า 1 ใน 5 ของประชากรทั้งประเทศอายุมากกว่า 70 ปี
  • แม้ว่าการปรับครั้งนี้จะทำให้รัฐบาลมีเงินเพิ่มขึ้น 4.6 ล้านล้านเยนเพื่อรับมือกับสังคมสูงวัย แต่รัฐบาลก็ต้องรับความเสี่ยง เพราะการปรับขึ้น 2 ครั้งก่อนหน้านำมาซึ่งภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจของแดนซามูไรซึ่งใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลกกำลังเผชิญกับการทดสอบที่สำคัญซึ่งอาจส่งผลต่อเส้นทางการเติบโตที่ ‘เปราะบาง’ โดยที่ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ ‘ความเชื่อมั่นผู้บริโภค’ ซึ่งเป็นตัวแปรหลัก

 

ขึ้นภาษีบริโภคจาก 8% เป็น 10% 

1 ตุลาคม 2019 เป็นวันแรกที่ภาษีบริโภคของญี่ปุ่น หรือ Consumption Tax ซึ่งที่ประเทศไทยเรียกว่า VAT หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 8% มาเป็น 10% ก่อนจะมาถึงวันนี้การขึ้นได้ถูกเลื่อนมา 2 ครั้งแล้ว การเพิ่มขึ้นนี้ครอบคลุมถึงสินค้าและบริการส่วนใหญ่ ตั้งแต่อาหาร เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงการขนส่งและค่ารักษาพยาบาล

 

ความน่าสนใจคือภาษีบริโภค 10% ไม่ได้ถูกใช้สำหรับสินค้าทุกอย่าง เช่น การซื้อแบบกลับบ้านที่ร้าน Starbucks ภาษียังคงเป็นอัตรา 8% แต่หากกินที่ร้านจะถูกเก็บภาษี 10% ตัวเลขที่ไม่เหมือนกันนี้อาจนำไปสู่ความสับสนของผู้บริโภคได้

 

แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนภาษีจะขึ้นอย่างเป็นทางการ ชาวญี่ปุ่นต่างออกมาซื้อสินค้าไว้ก่อนจำนวนมาก Nikkei Asian Review รายงานว่า Bic Camera เชนร้านค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ ระบุว่ายอดขายทีวี OLED เพิ่มขึ้น 4 เท่าในเดือนกันยายนจากปีก่อน ในขณะที่ยอดขายเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น และเครื่องซักผ้าเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า

 

ไม่เพียงเท่านั้น ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งในเส้นทางสัญจรหลักของกรุงโตเกียวต่างคลาคล่ำไปด้วยลูกค้าจำนวนมากตลอดทั้งคืน ผู้จัดการสถานีบริการน้ำมันกล่าวว่า “ปริมาณการใช้งานของลูกค้าเพิ่มขึ้น 30% จากวันธรรมดาและอาจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” 

 

 ภาษีบริโภค

 

เก็บ ‘ภาษีบริโภค’ มาช่วยอุ้ม ‘สังคมสูงวัย’ และสร้างความสมดุลให้บัญชี

ที่มาที่ไปของการเก็บภาษีบริโภคเกิดขึ้นในช่วงที่แดนซามูไรเกิดภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ในปี 1989 แรกเริ่มมีเป้าหมายเพื่อนำเงินที่เก็บได้จากอัตรา 3% เป็นเงินทุนสำหรับการใช้สวัสดิการสังคม เนื่องจากรัฐเริ่มรับรู้ถึงประชากรในอนาคตของประเทศมากขึ้น ก่อนที่ภาษีจะเพิ่มขึ้นเป็น 5% ในปี 1997

 

แต่การใช้จ่ายภาครัฐยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยญี่ปุ่นยังคงต่อสู้กับภาวะเงินฝืดและเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเจอปัญหาสังคมสูงวัย ซึ่งขณะนี้จำนวนผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไปคิดเป็น 1 ใน 5 ของประชากรทั่วประเทศแล้ว ขณะเดียวกันอัตราการเกิดยังเป็นตัวเลขที่ต่ำต่อเนื่อง

 

เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายสวัสดิการสังคมของประเทศที่เกิดขึ้นอย่างล้นหลาม ขณะเดียวกันการขาดดุลทางการคลังมานานหลายทศวรรษส่งผลให้ ‘หนี้สาธารณะ’ เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของ GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ 

 

ดังนั้นการปรับขึ้นภาษีอีกครั้งจะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะนอกจากจะได้เงินมารับมือสังคมสูงวัยแล้ว เงินภาษีที่เก็บได้มากขึ้นจะทำให้ตัวเลขทางบัญชีกลับสู่ภาวะสมดุลภายในปี 2025

 

ในปี 2012 ได้มีการพูดคุยกันระหว่างระหว่างบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งนำมาสู่การปูทางในการเพิ่มอัตราภาษีบริโภค โดยได้กำหนดให้อัตราภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 8% ในเดือนเมษายน 2014 และ 10% ในเดือนตุลาคม 2015 ก่อนจะมีการเลื่อนมา 2 ครั้ง และนำมาสู่การขึ้นอย่างเป็นทางการในวันนี้

 

 ภาษีบริโภค

 

ต้องระวัง ‘ภาวะถดถอย’ ทางเศรษฐกิจ

แม้ว่าการปรับครั้งนี้จะทำให้รัฐบาลมีเงินเพิ่มขึ้น 4.6 ล้านล้านเยนเพื่อรับมือกับสังคมสูงวัยที่กำลังกัดกินเศรษฐกิจของแดนอาทิตย์อุทัย แต่มีผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่าการเพิ่มขึ้นตามแผนไม่เพียงพอ บางคนถึงกับแนะนำว่าจำเป็นต้องเพิ่มภาษีบริโภคให้เกิน 20% ตัวอย่างเช่น องค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ได้แนะนำให้ญี่ปุ่นเพิ่มภาษีบริโภคเป็น 25% หรือ 26%

 

ด้วยเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว ญี่ปุ่นมีอัตราภาษีบริโภคที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับสหภาพยุโรปที่มีการเก็บเฉลี่ย 15-20% ที่สำคัญปัจจุบันมีประชากรเพียง 40% เท่านั้นที่จ่ายเงินสำหรับภาษีเงินได้และค่าประกันสังคม เมื่อคนกลุ่มนี้เกษียณ ภาษีรายได้จะลดลงเหลือศูนย์ ในขณะเดียวกันภาษีบริโภคก็จะมีความเท่าเทียมกันมากขึ้นในการที่ประชาชนที่มีอายุมากกว่า 65 ปีจะยังคงต้องจ่ายส่วนแบ่งของตัวเอง

 

แต่นั่นเป็นข้อที่ต้องมีการคิดให้รอบคอบเสียก่อน เพราะการปรับขึ้นในครั้งนี้ยังมาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องรับมือ เพราะการขึ้นก่อนหน้าจาก 3% เป็น 5% ในปี 1997 และขึ้นมาเป็น 8% ในปี 2014 นำมาซึ่งภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ

 

นักวิเคราะห์มองว่าการขึ้นภาษีทำให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะเงินฝืดในช่วงที่ความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งจะเข้ามากดดันการลงทุนซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโต อีกทั้งการปรับขึ้นภาษียังสร้างภาระให้กับครัวเรือนญี่ปุ่นเป็นมูลค่า 2 ล้านล้านเยน (18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

 

“เราจะใช้ความพยายามอย่างเร่งด่วนและเต็มที่ในการป้องกันความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะแกว่งตัวลง” โยชิฮิเดะ ซูกะ เลขาธิการหัวหน้าคณะรัฐมนตรีกล่าวในวันก่อนการขึ้นภาษี 

 

มาตรการที่ว่านี้มีทั้งลดหย่อนภาษีสำหรับการซื้อบ้านและรถยนต์ การคงอัตราการเก็บภาษีสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ไปจนถึงการให้เงินคืน (Rewards Program) 5% สำหรับการใช้จ่ายเงินสดในร้านขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวน 5 แสนร้านค้า ซึ่งจะเข้าร่วมในโครงการจนถึงเดือนมิถุนายน 2020

 

ส่วนบรรดาร้านค้าอื่นๆ ได้ปรับตัวด้วยการลดราคาสินค้าและดึงดูดลูกค้าให้จ่ายเงินสด จึงเชื่อกันว่าผลกระทบจากการขึ้นภาษีในครั้งนี้อาจจะไม่มากเท่ากับครั้งก่อนหน้าก็เป็นไปได้

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X