เมื่อไม่นานมานี้ใครหลายคนน่าจะได้ผ่านตากับภาพยนตร์โฆษณาตัวหนึ่ง ผ่านทั้งทางโทรทัศน์และช่องทางออนไลน์ ซึ่งหยิบยกเอาประเด็น ‘Palliative Care’ มาพูดถึง ซึ่ง THE STANDARD คิดว่า ภาพยนตร์โฆษณาชิ้นนี้เป็นมิติใหม่ที่ได้นำประเด็นซึ่งไม่ค่อยมีการพูดถึงและรับรู้กันมากนักในสังคมไทย มาเปิดบทสนทนาพูดคุยกับผู้ชม และถือเป็นประโยชน์มาก เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญที่เราทุกคน รวมถึงทุกคนที่เรารักนั้นจะต้องเผชิญกันในสักวันหนึ่ง แม้เราจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่คิดหรือพูดถึงมันก็ตาม แต่นั่นก็อาจทำให้เราสูญเสียโอกาสในการได้ ‘เลือก’ ตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย 

 

 

 

ภาพยนตร์โฆษณา ‘โชคดีที่ได้เลือก’ ฉายภาพสถานการณ์ที่หลายครอบครัวต้องประสบ ว่าด้วยเรื่องของการตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางการรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้าย โดยนำเสนอเรื่องราวสมมติเกี่ยวกับครอบครัวหนึ่งที่คุณพ่อป่วยระยะสุดท้าย เมื่อหมอถามลูกชายว่า ต้องการให้พ่อรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล หรือจะพาพ่อกลับบ้าน ส่งผลให้ลูกชายเกิดความสับสนขึ้นภายในใจ และตัดสินใจอย่างยากลำบากว่าจะเลือกทางไหน

 

ภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้นำเสนออย่างโดดเด่นสุดสร้างสรรค์ ด้วยเป็นภาพยนตร์โฆษณาแบบอินเตอร์แอ็กทีฟที่ฉายภาพให้เราเห็นผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นตามมาของทั้งสองทางเลือกที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผู้ชมสามารถเป็นผู้เลือกเองได้ว่าจะเลือกทางที่จะเลือกรักษาชีวิตคุณพ่อต่อไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ทั้งหมดที่มี หรือจะเลือกพาพ่อกลับบ้าน เพื่อดูแลแบบประคับประคองที่บ้านตามที่พ่อต้องการ 

 

ภาพยนตร์โฆษณาแบบอินเตอร์แอ็กทีฟ

วิธีการนำเสนอโดดเด่นสุดสร้างสรรค์ 

 

จุดเด่นของภาพยนตร์โฆษณาเรื่องนี้จึงไม่เพียงอยู่ที่การนำเสนอประเด็นที่น่าจะโดนใจหลายๆ คน เพราะว่าอาจจะเคยผ่านสถานการณ์คล้ายๆ แบบนี้มาก่อน แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ชมมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ โดยสามารถเป็นผู้เลือกแนวทางที่จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งไม่มีผิดมีถูก หากกระตุ้นให้เห็นถึง ‘ทางเลือก’ และความ ‘โชคดี’ ที่เราสามารถเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตในวาระสุดท้ายของตัวเองในแบบที่เราต้องการได้ และถือเป็นครั้งแรกของการให้ความรู้เรื่อง Palliative Care ในรูปแบบภาพยนตร์โฆษณา ให้ผู้ชมได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมเกี่ยวกับความเจ็บป่วยและความตายของตัวเอง พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่า การพูดคุยกันระหว่างผู้ป่วยและครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ และผู้ป่วยควรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษาของตนเอง เพื่อเตรียมความพร้อมและวางแผนเกี่ยวกับความเจ็บป่วยและความตายของตน ก่อนที่จะไม่สามารถทำได้ ซึ่งสอดคล้องกับหลักคิดของการดูแลแบบประคับประคองในระยะสุดท้าย ซึ่งเคารพต่อเจตจำนงและศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของผู้ป่วย นับเป็นภาพยนตร์โฆษณาที่สามารถสร้างบทสนทนาให้กับสังคมไทย ได้ตระหนักถึงการเลือกและการเตรียมตัวชีวิตของผู้ป่วยระยะสุดท้ายอย่างมีคุณภาพ  

 

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผู้ป่วย (หรือตัวเราเองที่เป็นผู้ชม ซึ่งในสักวันหนึ่งต่างก็ต้องเดินทางไปถึงจุดนั้นของชีวิตเช่นเดียวกัน) จะเลือกทางไหน ตามทางเลือกทั้งสองทางที่แสดงให้เห็นในภาพยนตร์โฆษณา ก็จะมี อลิอันซ์ อยุธยา ที่คอยช่วยดูแลตลอดทั้งสองเส้นทาง ทั้งทางเลือกที่จะรักษาอย่างเต็มที่ต่อไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ทั้งหมดที่มี เพราะก็มีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทางการแพทย์อยู่แล้ว หรือจะเลือกกลับบ้าน เพื่อให้การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) ที่บ้านตามที่พ่อต้องการ โดยอลิอันซ์ อยุธยาพร้อมมีบริการเพิ่มเติมในการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน (Nursing Care) ทำให้สามารถพาผู้ป่วยไปดูแลที่บ้านได้เช่นกัน 

 

 

ทั้งนี้ พัชรา ทวีชัยวัฒนะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายบริหารงานลูกค้า บมจ. อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ได้เปิดเผยกับ THE STANDARD ว่า “ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดของธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ อลิอันซ์ อยุธยา ต้องการนำเสนอความต่าง ไม่ใช่ในฐานะที่เป็นแค่เพียงบริษัทประกันที่พร้อมจ่ายเคลมค่ารักษาพยาบาล แต่เราต้องการเป็นเพื่อนที่คอยช่วยคิดและดูแลไปถึงจิตใจ ครอบคลุมถึงความรู้สึกของลูกค้าและครอบครัวที่เขารัก เราหวังว่าจะสามารถสร้างปรากฏการณ์ในสังคมไทยให้ตระหนักถึงการเลือกและการเตรียมตัวชีวิตของผู้ป่วยระยะสุดท้ายอย่างมีคุณภาพ โดยมี อลิอันซ์ อยุธยา คอยให้ความคุ้มครอง ไม่ว่าจะเลือกการรักษาอย่างเต็มที่ที่โรงพยาบาล หรือดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) ที่บ้าน” 

 

นับเป็นภาพยนตร์โฆษณาดีๆ ที่ช่วยสร้างความตระหนักรู้ให้เกิดขึ้นว่า เรายัง ‘โชคดีที่ได้เลือก’ สมดังสโลแกนของอลิอันซ์ อยุธยาที่บอกว่า  #เหมากายเหมาใจ #เหมาไปถึงความรู้สึก โดยแท้ 

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล