อิหร่านประกาศเดินหน้าเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมเกินเพดานที่กำหนดในข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ขณะที่จีนตำหนิสหรัฐฯ ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤตระลอกใหม่ หลังรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงนานาชาติเมื่อปีที่แล้ว และกดดันอิหร่านด้วยมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
องค์การพลังงานปรมาณูอิหร่าน ระบุว่า อิหร่านได้เสริมสมรรถนะยูเรเนียมให้บริสุทธิ์เกิน 4.5% เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าระดับ 3.67% ตามที่ข้อตกลงอนุญาตให้ทำได้
สำหรับยูเรเนียมที่นำไปพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้นั้นจะต้องมีความบริสุทธิ์มากกว่า 90% ขึ้นไป โดยในอดีตอิหร่านถูกจำกัดไม่ให้เสริมสมรรถนะยูเรเนียมเกินกว่ากำหนด เพื่อหยุดยั้งโครงการพัฒนานิวเคลียร์
อับบาส อะราคกี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่านชี้แจงว่า อิหร่านต้องการทำตามข้อตกลง แต่ชาติยุโรปไม่ได้ทำตามคำมั่นสัญญาในการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
เจ้าหน้าที่อิหร่านยังเตือนด้วยว่า อิหร่านจะเดินหน้าเสริมสมรรถนะยูเรเนียมต่อเนื่องในทุกๆ 60 วัน หากสหราชอาณาจักร, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี และรัสเซีย ไม่ปกป้องอิหร่านจากการถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร
ด้าน เกิ่งส่วง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน แถลงตำหนิสหรัฐฯ ว่า ทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น หลังรัฐบาลทรัมป์ข่มเหงอิหร่านเพียงฝ่ายเดียว
“การกดดันอิหร่านอย่างถึงที่สุดเป็นรากเหง้าที่นำไปสู่วิกฤตนิวเคลียร์อิหร่าน” เกิ่งส่วง กล่าว
ขณะที่รัสเซียก็วิจารณ์สหรัฐฯ ว่าเป็นต้นเหตุให้วิกฤตบานปลายเช่นกัน พร้อมประกาศว่าจะผลักดันการเจรจาทางการทูตเพื่อทำให้ทุกฝ่ายกลับเข้าสู่ข้อตกลง
“รัสเซียและประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เตือนผลลัพธ์ที่กำลังจะตามมานี้ หากมีประเทศใดประเทศหนึ่งตัดสินใจยกเลิกพันธกรณีและถอนตัวจากข้อตกลง” ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าว
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: