นักวิเคราะห์ประเมินดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบ โดยมีแรงขายทำกำไร ขณะที่นักลงทุนรอดูการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนรอบใหม่ ส่วนความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาในต่างประเทศคือ สหรัฐฯ เตรียมประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากสหภาพยุโรป (EU) ส่วนในประเทศ นักลงทุนยังคงรอโผ ครม. ที่ยังไม่ลงตัว
ตลาดกำลังรอดูความคืบหน้าการเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ และจีนที่ยังไม่มีกำหนดการหรือรายละเอียดใดๆ ออกมา ซึ่งเป็นเหตุให้ตลาดหุ้นวานนี้บวกได้ไม่แรงนัก และแรงซื้อกระจุกตัวในหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) และหุ้นที่มีความเป็น defensive เช่นโรงไฟฟ้า
ประกอบกับตลาดยังจับตาสหรัฐฯ เตรียมขึ้นภาษีสินค้าจาก EU ครอบคลุมมูลค่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่ง 2 เรื่องนี้อาจเป็นปัจจัยให้แรงซื้อของตลาดหุ้นไทยในวันนี้แผ่วลงจากวันก่อน
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐขยับขึ้น (Dollar Index 96.8, เงินบาท 30.7 บาท/ดอลลาร์) หลังผลเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนออกมาดี ซึ่งลดโอกาสในการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งสัญญาณชะลอการแข็งค่าเงินบาท ด้วยการลดวงเงินประมูลพันธบัตรระยะสั้น (3 เดือน ถึง 1 ปี) ลง 2.0 หมื่นล้านบาท อาจมีผลต่อการไหลเข้าของเงินเก็งกำไรในตลาดพันธบัตรได้บ้าง เพราะหากไม่ได้ผล ธปท. จะเพิ่มความเข้มข้นในการออกมาตรการมากกว่านี้
ท้ายสุดของตัวแปรวันนี้คือการเมืองไทย ยังมีประเด็นในเรื่องการตั้ง ครม. ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยกระทรวงนี้มีผลต่อราคาหุ้นในตลาดที่อิงนโยบายด้านพลังงาน (ไบโอดีเซล น้ำมัน ไฟฟ้า)
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในมุมมองของบริษัท KTBST นั้น จาก Flow ที่ยังมีแนวโน้มไหลเข้าตลาด แรงขายที่เกิดขึ้นอาจมองเป็นการ Take Profit ช่วงสั้น กลยุทธ์ลงทุนจึงให้น้ำหนักไปที่หุ้นที่ราคาปรับตัวลดลงจากผลพวงสงครามการค้า เช่น ปิโตรเคมี ซึ่งน่าจะบวกต่อได้ รวมไปถึงหุ้นที่มีความ defensive หรือปัจจัยเฉพาะตัว เนื่องจากมองว่าดัชนีฯ จะยังปรับตัวขึ้นไม่แรง
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- บริษัทหลักทรัพย์ KTBST