ผู้นำสหรัฐฯ และจีนเปิดฉากประชุมระดับทวิภาคีนอกรอบบนเวทีซัมมิต G20 ที่นครโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ตามกำหนดการในเช้าวันนี้ (29 มิ.ย.) ท่ามกลางการจับตาของทั่วโลกว่าสองฝ่ายจะสามารถยุติสงครามการค้าที่สร้างความผันผวนต่อตลาดและส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจโลกได้หรือไม่
ทรัมป์แสดงจุดยืนกับสีจิ้นผิงและคณะเจรจาฝ่ายจีนว่าเขาต้องการทำข้อตกลงที่ทำให้ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีความเสมอภาคมากขึ้น ขณะเดียวกันก็บอกกับผู้นำจีนว่าสหรัฐฯ และจีนจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ หากทำข้อตกลงการค้าเสรีกันได้สำเร็จ
“ผมจะบอกว่าการประชุมครั้งนี้จะเกิดผลบวกอย่างมาก และคิดว่าเราสามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ยิ่งใหญ่ได้” ทรัมป์กล่าวขณะเริ่มการประชุมกับสีจิ้นผิง
“เรามีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม แต่เราต้องการทำบางสิ่งที่จะทำให้เกิดความเสมอภาค” ผู้นำทำเนียบขาวกล่าว
ทรัมป์พูดถึงการเจรจาระหว่างสองฝ่ายที่หยุดชะงักไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่าสองฝ่ายเกือบจะตกลงกันได้แล้ว แต่ก็เกิดอุปสรรคบางอย่างขึ้นจนทำให้ข้อตกลงล่ม อย่างไรก็ตาม เวลานี้สหรัฐฯ และจีนขยับเข้าใกล้เพื่อที่จะทำข้อตกลงร่วมกัน
“ข้อตกลงนี้จะกลายเป็นฉบับประวัติศาสตร์หากสามารถบรรลุเงื่อนไขกันได้” ทรัมป์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ปฏิเสธที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับปมขัดแย้งกรณี Huawei ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมของจีนที่ถูกทรัมป์สั่งแบนไม่ให้ค้าขายสินค้าเทคโนโลยีกับบริษัทสหรัฐฯ
ขณะที่สีจิ้นผิงบอกกับทรัมป์ว่าเขาต้องการผลักดันความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีให้เดินหน้าด้วยความร่วมมือเป็นสำคัญ
ผู้นำจีนยังยกเหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ เพื่อชี้ให้เห็นว่าถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะดำเนินไปอย่างกระท่อนกระแท่น แต่ก็มีจุดเปลี่ยนที่ทำให้หันหน้าเข้าหากันได้ โดยเหตุการณ์ที่สีจิ้นผิงนำมาพูดถึงในที่ประชุมคือการพบกันของนักกีฬาเทเบิลเทนนิสจากสหรัฐฯ และจีนที่เมืองนาโกยา ประเทศญี่ปุ่น ในปี 1971 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเจริญสัมพันธไมตรีสู่ภาวะปกติระหว่างสองประเทศ
“เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ณ สถานที่ที่ไกลออกไปจากโอซาก้าราว 100 กิโลเมตร ประชาชนอเมริกันและจีนได้ร่วมแข่งขันเทเบิลเทนนิสชิงแชมป์โลกครั้งที่ 31” สีจิ้นผิงกล่าว
“นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เราเรียกว่าการทูตปิงปอง ลูกบอลลูกเล็กๆ แต่มีบทบาทใหญ่ในการขับเคลื่อนเหตุการณ์สำคัญของโลก”
1 ปีต่อมา หรือในปี 1972 ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเวลานั้น และเหมาเจ๋อตง ผู้นำจีนในช่วงเวลาดังกล่าว ได้พบปะกันครั้งประวัติศาสตร์ที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งนำไปสู่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างสองประเทศ
ผู้นำจีนเผยด้วยว่าที่ผ่านมาตัวเขาและทรัมป์มีการติดต่อสื่อสารกันอย่างใกล้ชิดทั้งทางโทรศัพท์และจดหมาย
สีจิ้นผิงกล่าวว่า “นับตั้งแต่จีนและสหรัฐฯ พัฒนาความสัมพันธ์ทางการทูตสู่ภาวะปกติเมื่อ 40 ปีก่อนเป็นต้นมา มีหลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ข้อเท็จจริงพื้นฐานที่ยังคงอยู่และไม่เคยเปลี่ยนเลยก็คือจีนและสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์จากความร่วมมือ และจะสูญเสียทั้งคู่หากเผชิญหน้ากัน
“ความร่วมมือและการพูดคุยกันเป็นสิ่งที่ดีกว่าความขัดแย้งและการเผชิญหน้า”
ทั้งนี้มีกระแสคาดการณ์ว่าทรัมป์และสีจิ้นผิงจะตกลงสงบศึกในสงครามการค้าชั่วคราวหลังเสร็จสิ้นการประชุมซัมมิต G20 ที่ญี่ปุ่น โดยทรัมป์อาจประกาศชะลอการขึ้นภาษีกับสินค้าจีนครอบคลุมมูลค่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐไว้ก่อน แต่มาตรการภาษีอัตรา 25% ที่บังคับใช้กับสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐก่อนหน้านี้จะยังมีผลบังคับใช้ ถึงแม้ฝ่ายจีนต้องการให้ยกเลิกทั้งหมดก็ตาม
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: