การจะหานาฬิกาหรือเครื่องประดับที่เหมาะกับตัวเราถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายหากเทียบกับสินค้าแฟชั่นทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า หรือรองเท้าที่หมุนเวียนตลอดเวลาตามฤดูกาล ซึ่งกว่าจะเลือกไอเท็มนาฬิกาหรือเครื่องประดับสักชิ้นก็ต้องอาศัยหลายปัจจัยหากเทียบกับคุณภาพที่ได้มา ทั้งเรื่องดีไซน์ นวัตกรรม รสนิยมส่วนตัว เรื่องราวความเป็นมาของแบรนด์ และราคา โดย CALVIN KLEIN ที่ถึงแม้หลายคนอาจคุ้นเคยในบริบทของเสื้อผ้าแฟชั่น ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มีตัวเลือกนาฬิกาและเครื่องประดับที่ตอบโจทย์แบบไม่อ้อมค้อมและแฝงด้วยดีเอ็นเอความมินิมัล เรียบหรู และคลาสสิกแบบร่วมสมัย ตามต้นฉบับแบรนด์ที่ก่อตั้งในปี 1968 โดย คาลวิน ไคลน์ และแบร์รี เค. ชวอตซ์ ก่อนจะก้าวมาเป็นอีกหนึ่งแบรนด์มหาอำนาจของโลก
โดยตั้งแต่ปี 1997 ทาง CALVIN KLEIN ที่ทุกวันนี้อยู่ภายใต้บริษัทแฟชั่นยักษ์ใหญ่ PVH ได้เซ็นสัญญากับกลุ่ม The Swatch Group ของสวิตเซอร์แลนด์ ก่อตั้งโดย นิโคลัส ฮาเยก ในปี 1983 เพื่อที่จะผลิตนาฬิกา CALVIN KLEIN ที่มาพร้อมกลไกแบบ Swiss Made ซึ่งพัฒนาที่สำนักงานใหญ่ของ The Swatch Group ในเมืองเบียล ส่วนเครื่องประดับที่เริ่มต้นในปี 2004 ก็มีการดีไซน์โดยทีม In-House ในนิวยอร์ก ซึ่งทุกวันนี้มีนาฬิกาและเครื่องประดับ CALVIN KLEIN มีออกมาแล้วกว่า 200 โมเดลและมีขายกว่า 80 ประเทศ กับราคาที่เรียกว่า Accessible Luxury แบบจับต้องได้ เข้ากับทุกเพศทุกวัย และมีความลงตัวเรื่องดีไซน์ที่เหมาะกับการแต่งตัวสำหรับทุกกิจกรรม ตั้งแต่แคชวลลำลองในวันว่างจนถึงชุดทางการในวันทำงาน
สำหรับนาฬิกาและเครื่องประดับในปี 2019 ของ CALVIN KLEIN ทาง เมาโร สเตฟานิซซี หัวหน้าดีไซเนอร์ และดอนนาเทลลา ซัปปิเอรี ก็ได้ช่วยกันรังสรรค์นาฬิกา สร้อยข้อมือ สร้อยคอ และต่างหู โดยได้แยกเป็น 6 แรงบันดาลใจหลักที่ต่างกันออกไปเพื่อสร้างสรรค์สำหรับทุกคน แต่ยังคงเชื่อมต่อกับดีเอ็นเอความเป็นมินิมัลในแบบฉบับ CALVIN KLEIN
#mycalvins
เป็นคอลเล็กชันนาฬิกาผู้หญิงที่พูดถึงเรื่องราวและสปิริตของคนรุ่นใหม่ตามเทรนด์ Youth Culture ในยุค Disruption ที่สนุก ท้าทาย ชอบแชร์ประสบการณ์ของตัวเองแบบไร้ขอบเขต โดยนาฬิกาหมวดนี้จะเน้นสีสัน ความป๊อป ความแฟชั่นที่เห็นได้จากหน้าปัด 3 สี และยังดึงคอนเซปต์ Customization เพื่อให้แต่ละคนสามารถใส่นาฬิกา CALVIN KLEIN ในรูปแบบที่สะท้อนความเป็นตัวเองมากที่สุด โดยจะมาเป็นเซตสายหนัง 3 เส้นที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ซึ่งทั้ง 2 เส้นจะมีแผ่นเหล็กสลักคำว่า LOVE กับ CALVIN KLEIN ที่ใส่เป็นกำไลข้อมือแยกได้อีกด้วย
#logomania
เป็นหนึ่งเทรนด์คลาสสิกยุค 80 และ 90 ที่กลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้ง และ CALVIN KLEIN ได้นำมาถ่ายทอดลงบนนาฬิกาในเวอร์ชันที่พูดได้ว่าอยู่กับปัจจุบัน มองไปข้างหน้า และไม่ติดอยู่กับอดีต ซึ่งเห็นได้จากหน้าปัดคำว่า CK ที่มาในหลากหลายสีสัน และสร้อยข้อมือเหล็กที่มีทั้งแบบสีเงินคลาสสิกเรียบหรู ไปจนถึงสีทอง หรือสีน้ำเงินนีออนที่ใส่แล้วดูโดดเด่น โดยเราแนะนำให้ใส่นาฬิการุ่น Logomania ที่มีกลิ่นอายความเป็นยูนิเซ็กซ์กับชุดที่ไม่ดูฉูดฉาดจนเกินไปและมีความมัสคูลีน เช่น ชุดสูท หรือชุดเดรสสี Monochromatic อย่างสีขาว-ดำ เป็นต้น
#American_DNA
จะผ่านไปกี่ปี กี่ซีซัน คอนเซปต์ของการมีชีวิตแบบ American Dream ก็ยังคงเป็นสิ่งที่คนทั่วโลกใฝ่ฝันว่าอยากมีแบบเกินคำว่าเทรนด์ แต่เป็นวิถีชีวิตจริงๆ เพราะเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวของเสรีภาพ โอกาส และอนาคตที่ไม่ต้องอยู่ในกรอบเดิมๆ ซึ่ง CALVIN KLEIN ก็ได้เฉลิมฉลองและพูดถึงสิ่งนี้ตั้งแต่แบรนด์เริ่มต้นนับหนึ่ง และได้ช่วยขับเคลื่อนสังคม วัฒนธรรม และแฟชั่นรอบตัวเราผ่านทุกดีไซน์ของแบรนด์ โดยนาฬิกาเซตนี้ก็ยังคงดีเอ็นเอตรงนี้และเน้นเรื่องราวผ่านสีสันที่มีความเป็นคลาสสิกอเมริกัน เช่น สีดำ สีน้ำเงิน และสีเงิน ซึ่งนำมาเล่นบนสายหนัง สายเหล็ก หรือหน้าปัดนาฬิกา ส่วนอีกหนึ่งความพิเศษคือการนำลายทาง (Stripes) มาเล่นอีกครั้ง ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากธงชาติอเมริกา สัญลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็น #American_DNA ได้อย่างเต็มเปี่ยม
#glimpse
สำหรับนาฬิกาสุภาพบุรุษรุ่นนี้ที่มาพร้อมสายหนังวัวสีแดงและสีน้ำเงิน เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวของนวัตกรรมและความเชี่ยวชาญแบบ Swiss Made เข้ากับดีไซน์รูปทรงที่ได้แรงบันดาลใจจากแผงหน้าปัดรถยนต์ยุค 70 ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นบนหน้าปัดนาฬิกา โดยนาฬิการุ่นนี้ถือได้ว่ามีความอเนกประสงค์ เข้ากับผู้ชายหลากหลายสไตล์ ตั้งแต่คนที่ชอบแต่งตัวสไตล์อเมริกันร็อกที่สามารถจับนาฬิกาใส่คู่กับแจ็กเก็ตหนัง กางเกงยีนส์ และรองเท้าบู๊ต หรือผู้ชายที่เน้นแต่งตัวแบบสมาร์ทแคชวลก็สามารถใส่นาฬิกา #Glimpse กับเสื้อเชิ้ตและสแล็กในวันทำงาน และเปลี่ยนมาใส่กับกางเกงขาสั้นเสื้อยืดในวันเสาร์-อาทิตย์ได้
#chains
โซ่ข้อมือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์และดีไซน์สุดไอคอนิกที่มีความสากลและอยู่กับเรามานาน ไม่ว่าจะเป็นในบริบทของแฟชั่น ศิลปะ เครื่องแต่งกาย หรือนำมาใช้เป็นวัสดุที่ทั้งเชื่อมต่อและตกแต่งตัวเราเอง โดยในคอลเล็กชันปี 2019 CALVIN KLEIN ได้นำโซ่ข้อมือทั้งแบบสีเงินและสีทองมาใช้ในนาฬิกา สร้อยข้อมือ และต่างหูที่สะท้อนความเป็นผู้หญิงแกร่งแห่งยุค เช่น ริฮานนา, เคต บลานเชตต์ และดัว ลิปา ซึ่งคำแนะนำของเราเกี่ยวกับการมิกซ์แอนด์แมตช์สินค้า #chains คือควรเลือกมาเพียงหนึ่งชิ้นต่อหนึ่งลุคเพื่อเป็นไฮไลต์ แล้วก็ไม่ควรใส่กับเสื้อผ้าที่มีลวดลายเยอะเกินไป เพราะจะดูตีกันไปหมด
#pearls
หลายคนอาจคิดว่าการนำไข่มุกมาตกแต่งเครื่องประดับจะทำให้ดูคอนเซอร์เวทีฟและล้าหลัง แต่ไม่เสมอไป โดยปีนี้ CALVIN KLEIN ได้ตีความใหม่บนแว่น กำไล และสร้อยคอโชกเกอร์สีทองแชมเปญสเตนเลสสตีลต่างๆ ที่นำหิน Onyx มาร่วมอยู่ด้วย พร้อมนำกลิ่นอายรูปทรงกราฟิกที่แฝงด้วยความอาว็องการ์ดที่จะทำให้ทุกคนที่สวมใส่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองกับเครื่องประดับ Statement Piece เหล่านี้ ไม่ว่าจะใส่ร่วมกันเป็นเซตหรือแยกชิ้นก็ตาม
ปิดท้ายด้วยแคมเปญนาฬิกาและเครื่องประดับของปีนี้ที่พูดถึงการได้ออกไปพบประสบการณ์ใช้ชีวิตของวัยรุ่น มาตีความภายใต้คอนเซปต์ ‘No Time Like the First’ ซึ่งได้ช่างภาพแฟชั่นมาแรงอย่าง แลชแลน เบลีย์ มาถ่าย โดยต้องการสะท้อนเรื่องราวชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในช่วงชีวิตที่ได้สัมผัสประสบการณ์ต่างๆ เป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก การเดินทาง หรือการได้ใช้เสรีภาพ ซึ่งภาพแคมเปญนาฬิกาและเครื่องประดับของ CALVIN KLEIN ก็ได้เหล่านายแบบและนางแบบหลากหลายเชื้อชาติมาร่วมถ่ายทอดทั้ง คารา เทย์เลอร์ และจัสติน มาร์ติน จากอเมริกา, โคเฮ ทาคาบาทาเกะ จากญี่ปุ่น, ชินฮยอนจี จากเกาหลีใต้ และรูส ฟาน อิลก์ จากฮอลแลนด์
ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เห็นว่า CALVIN KLEIN เป็นแบรนด์ที่เปิดรับการรวมกันของคนหลากหลายเชื้อชาติซึ่งกำลังเป็นเรื่องราวกระแสหลักของสังคมในยุคนี้ ตามแบบ DNA หลักของแบรนด์ CALVIN KLEIN ที่คนทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดีว่าเป็นแบรนด์ที่ชัดเจนในเรื่องของ Unisex
สำหรับใครที่กำลังมองหานาฬิกาที่มาพร้อมเรื่องราวและอยากเป็นส่วนหนึ่งของทุกประสบการณ์ของคุณไม่ว่าจะไปในทิศทางไหน โดยไม่ใช่แค่ไอเท็มเปล่าๆ ชิ้นหนึ่งที่มาตกแต่งข้อมือ CALVIN KLEIN ก็เป็นแบรนด์ที่ไม่ควรมองข้ามอย่างแน่นอน
ภาพ: All Courtesy of Calvin Klein
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
