เมื่อวานที่ผ่านมา (21 พ.ค.) ผู้ว่าการรัฐ เจย์ อินสลี ลงนามในกฎหมายให้วอชิงตันกลายเป็นรัฐแรกของสหรัฐอเมริกาที่อนุญาตให้ครอบครัวสามารถตัดสินใจเลือกให้ใช้ศพทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ได้ เป็นทางเลือกหนึ่งในการทดแทนการฝังหรือการเผาแบบเดิม
โดยกฎหมายดังกล่าวอนุญาตให้มีการย่อยสลายศพด้วยวิธีการทางธรรมชาติ (Natural Organic Reduction) ที่จะมีการนำศพผสมกับส่วนประกอบต่างๆ ทั้งเศษไม้ เศษฟาง รวมถึงดิน เมื่อผ่านไปนานหลายสัปดาห์จนศพแปรสภาพกลายเป็นปุ๋ยดิน ครอบครัวสามารถเก็บดินนี้กลับไปได้ โดยเลือกที่จะหว่านใส่ต้นไม้หรือใช้ในการเกษตรก็ได้ เช่นเดียวกับการโปรยเถ้ากระดูกลงในแม่น้ำ
กลุ่มผู้สนับสนุนจำนวนมากมองว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นหนึ่งในทางเลือกในการจัดการกับศพของผู้ล่วงลับที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แทนการเผาศพแบบเดิมที่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และฝุ่นละอองขนาดเล็กฟุ้งกระจายไปในอากาศ นอกจากนี้การฝังกลบในบางกรณีที่ศพมีใช้สารประเภทฟอร์มัลดีไฮด์และสารเคมีอื่นๆ อาจเจือปนและตกค้างในแหล่งน้ำใต้ชั้นดิน รวมถึงการนำศพใส่ในโลงศพที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติอาจจะยิ่งทำให้พื้นที่สุสานยิ่งขาดแคลน
สมาชิกวุฒิสภา เจมี ปีเดอร์สัน จากพรรคเดโมแครต หนึ่งในผู้สนับสนุนกฎหมายดังกล่าว เปิดเผยว่ากฎหมายฉบับนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพื่อนบ้านของเขาที่ชื่อ แคทรีนา สเปด นักศึกษาด้านสถาปัตย์ของมหาวิทยาลัยรัฐแมสซาชูเซตส์ที่ได้ศึกษาอุตสาหกรรมการจัดงานศพ โดยเขาได้ต่อยอดจากสิ่งที่พี่น้องเกษตรกรทำปุ๋ยอินทรีย์ภายในฟาร์ม ก่อนที่จะมีโครงการนำร่องที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน โดยมีญาติของผู้เสียชีวิตจาก 6 ครอบครัวนำร่างมาให้ใช้ในการศึกษา ซึ่งภายในเดือนพฤษภาคม ปี 2020 กฎหมายลักษณะนี้จะถูกประกาศใช้ในอีก 19 รัฐในสหรัฐอเมริกา แม้จะยังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดดังกล่าวอยู่มากก็ตาม
ภาพ: Rawpixel.com / Shutterstock
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: