จากกรณีที่ ด.ช.อายุ 8 เดือน ถูกรถสิบล้อชนเสียชีวิตในจังหวัดสมุทรปราการ ขณะอยู่ในรถหัดเดิน ล่าสุด รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ได้จัดงานแถลงข่าวกรณี ‘เด็กเสียชีวิตจากรถหัดเดิน’ โดยระบุว่า รถหัดเดินถือเป็นอันตรายกับเด็กๆ และไม่ช่วยในการหัดเดิน
ทั้งนี้ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีการเสียชีวิตของทารกจากการใช้รถหัดเดินถึง 2 ราย จากการจมน้ำและถูกรถชน อีกหนึ่งรายบาดเจ็บหนักแต่ไม่เสียชีวิตจากการถูกสุนัขรุมกัด ซึ่งในความเป็นจริงยังมีการบาดเจ็บอีกจำนวนมากที่ไม่เป็นข่าวจากการใช้ผลิตภัณฑ์ทารกประเภทนี้
รศ.นพ.อดิศักดิ์ ระบุว่า รถพยุงตัวหรือรถหัดเดินเป็นอุปกรณ์ที่ยังคงวางขายทั่วไปในห้างสรรพสินค้าและร้านของใช้เด็ก พ่อแม่ในสังคมไทยมีความเคยชินในการใช้เป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่แล้วมักจะจัดหาให้เด็กเมื่อเด็กอายุประมาณ 5-6 เดือน ขณะที่การศึกษาพบว่า พ่อแม่หาซื้อให้เด็กตั้งแต่เด็กอายุประมาณ 4 เดือน ร้อยละ 50 คิดว่า จะช่วยให้เด็กเดินได้เร็วขึ้น ร้อยละ 40 ให้เหตุผลว่า ใช้เพราะผู้ดูแลไม่ว่าง ต้องทำงานบ้าน จึงต้องมีที่ที่วางเด็กไว้โดยไม่ต้องดูแลเอง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ตรงข้ามกับข้อควรปฏิบัติในการใช้ทั้งสิ้น
ขณะที่ในต่างประเทศอย่างแคนาดา ออสเตรเลีย และบางรัฐในสหรัฐอเมริกา ได้มีกฎหมายห้ามมิให้มีการจำหน่ายรถหัดเดินแล้ว ในบางรัฐให้มีการจำหน่ายพร้อมคำเตือนอันตรายแก่ผู้ซื้อ ในบ้านเราปัจจุบันสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคกำหนดให้เรียกว่า รถพยุงตัว ไม่ให้ใช้คำว่า รถหัดเดิน และให้กำกับฉลากคำเตือนบนผลิตภัณฑ์ให้ผู้ดูแลเด็กรู้ว่าอาจมีอันตราย ต้องอยู่ใกล้ชิดเด็กเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์นี้ และไม่ช่วยในการหัดเดิน
ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัวชี้ว่า รถหัดเดินทำให้เด็กเดินช้า เพราะเมื่อเด็กเล็กที่อยู่ในรถหัดเดิน เวลาจะเคลื่อนที่จะใช้ปลายเท้าจิกลงและไถไปข้างหน้า แต่เวลาเด็กเริ่มเดินจริง กลไกการเดินที่ถูกต้องจะใช้ส้นเท้าลงก่อน ดังนั้น เด็กที่อยู่ในรถหัดเดินนานหลายชั่วโมงต่อวัน เมื่อตั้งไข่ได้ดีแล้วจะก้าวเดิน เด็กจะใช้ปลายเท้าจิกลง ซึ่งจะทำให้ท่าทางการเดินทรงตัวได้ไม่ดี โดยทั่วไปเด็กที่อยู่ในรถหัดเดินหลายชั่วโมงต่อวัน จะเดินได้ช้ากว่าเด็กที่ไม่ได้ใช้ประมาณ 1-3 เดือน โดยในสิงคโปร์มีการวิจัยในเด็ก 185 คน พบว่า ร้อยละ 10.8 ของเด็กที่ใช้รถหัดเดินเป็นประจำ จะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวช้ากว่าเด็กที่ไม่ได้ใช้
แต่ที่เป็นผลเสียมากกว่านั้นคือ อันตรายจากอุบัติเหตุ จากการวิจัยพบว่า หนึ่งในสามของเด็กที่ใช้รถหัดเดินจะเคยได้รับบาดเจ็บจากรถหัดเดิน อันตรายที่รุนแรงพบได้จากการตกจากที่สูง การพลิกคว่ำจากพื้นที่มีความต่างระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้รถหัดเดินในบ้านที่มีหลายชั้น หรือบ้านที่ยกระดับมีใต้ถุนบ้านแล้วมิได้ทำประตูกั้นหน้าบันได หรือทำประตูกั้นแต่เปิดได้สองทิศทาง แล้วเกิดลืมใส่ล็อกไว้ การตกจากที่สูงจะนำไปสู่การบาดเจ็บกระดูกต้นคอ บาดเจ็บศีรษะ และเลือดออกในสมอง ทำให้เสียชีวิตได้
การบาดเจ็บอีกชนิดหนึ่งที่รุนแรงคือ การบาดเจ็บจากการเข้าสู่จุดอันตราย ความเสี่ยงรอบบ้าน เด็กบนรถหัดเดินจะเคลื่อนที่ได้ไกลและเร็ว เกิดการคลาดสายตาจากพ่อแม่ได้ง่าย เด็กจะวิ่งชนโต๊ะที่วางกาน้ำร้อนอยู่ หรือวิ่งไปพร้อมกระชากสายไฟฟ้าของกาต้มน้ำ น้ำร้อนมักจะลวกเป็นพื้นที่กว้างตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงลำตัวและแขนขา จมน้ำแหล่งน้ำในบ้านหรือรอบๆ บ้าน เช่น สระว่ายน้ำ บ่อน้ำ หรือเพียงแค่คว่ำในอ่างน้ำ ถังน้ำ กะละมัง เป็นเหตุให้เด็กจมน้ำได้ ขณะที่เคลื่อนออกพื้นที่ถนนทำให้ถูกรถชน สุนัขกัด เพียงเวลาไม่กี่นาทีที่เด็กคว่ำหรือตกลงในภาชนะเก็บกักน้ำทั้งหลาย จะนำไปสู่การขาดอากาศและเกิดภาวะสมองตาย ยากเกินกว่าการแพทย์จะช่วยแก้ไขได้
การป้องกันที่ถูกต้องคือ ‘งดใช้รถไม่หัดเดินชนิดมีลูกล้อแบบนี้’ เนื่องจากหลักฐานการวิจัยที่ผ่านมาทั้งหมดเชื่อได้ว่า รถหัดเดินจัดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์น้อย ไม่ช่วยการเดิน แต่มีอันตรายมาก ไม่คุ้มค่าในการใช้ หรือเลือกใช้รถพยุงตัวที่ไม่มีลูกล้อ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่รูปร่างหน้าตาคล้ายกัน แต่ไม่มีลูกล้อ
ทำไมกลไกการตลาด การควบคุมมาตรฐานของใช้เด็กทารก การคุ้มครองผู้บริโภคเด็กทารก จึงยังปล่อยให้ผลิตภัณฑ์ออกแบบมาไร้ประโยชน์ มีอันตราย และยังคงมีการซื้อขายกันตามความไม่รู้ของผู้บริโภคได้
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล