ทางการศรีลังกาถูกวิจารณ์อย่างหนัก และตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพของการข่าวกรอง หลังมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่เคยถูกเตือนเกี่ยวกับภัยคุกคามจากกลุ่มมือวางระเบิดในเหตุโจมตีโบสถ์และโรงแรมเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่กลับไม่มีการวางมาตรการป้องกันไว้ล่วงหน้า ส่งผลให้เกิดโศกนาฏกรรมจนมีผู้เสียชีวิต 290 ราย และบาดเจ็บเกือบ 500 ราย
รายงานระบุว่า หน่วยงานความมั่นคงได้เฝ้าจับตาความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักรบญิฮาด National Thowheed Jamath (NTJ) ซึ่งเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวหัวรุนแรงในศรีลังกาอย่างใกล้ชิด และได้แจ้งตำรวจถึงความเป็นไปได้ในการก่อเหตุโจมตี
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลศรีลังกาเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีรานิล วิกรามาสิงหะ และคณะรัฐมนตรีไม่ได้รับแจ้งการเตือนภัยดังกล่าว โดยโฆษกรัฐบาลระบุว่า ตัวนายกฯ ไม่ได้อยู่ในทีมที่รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ความมั่นคงโดยตรง สืบเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างวิกรามาสิงหะกับ ประธานาธิบดีไมตรีปาละ สิริเสนา ตั้งแต่ปีที่แล้ว
หลังเกิดเหตุ ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องสงสัยไว้ 24 คน ก่อนจะยืนยันในภายหลังว่า เหตุระเบิดรวม 8 ครั้ง น่าจะเป็นฝีมือของกลุ่ม NTJ ขณะที่รัฐบาลประกาศเตือนว่า อาจมีการโจมตีระลอกใหม่อีก พร้อมกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนของวันจันทร์ที่ผ่านมา (22 เม.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นการมอบอำนาจให้ตำรวจและทหารสามารถเคลื่อนกำลังออกตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องสงสัยได้โดยที่ไม่ต้องมีหมายศาล นอกจากนี้รัฐบาลยังประกาศเคอร์ฟิว โดยห้ามประชาชนออกจากบ้านในยามวิกาลตั้งแต่เวลา 20.00 น. ของคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา เพื่อให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคงตรวจตราความเรียบร้อยตามถนนสายต่างๆ
นอกจากผู้ต้องสงสัยแล้ว ตำรวจยังพบที่จุดระเบิดจำนวน 87 ชิ้น ที่สถานีรถบัสบาสเตียนมาวาธา ในเขตเพตตาด้วย
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: