นับเป็นการรีแมตช์ของคู่ชิงศึกเอฟเอคัพฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งเชลซีเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไป 1-0 และคว้าแชมป์ไปครอง แต่สถานการณ์ของทั้งสองทีมในเวลานี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงจากปีที่แล้ว
โดยฝั่งแชมป์เก่าเชลซี ภายใต้การคุมทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี ตกอยู่ในสถานการณ์ที่กดดัน เมื่อเขาออกมายอมรับเองว่านักเตะชุดนี้ของเชลซีมีทัศนคติที่น่าผิดหวัง และ ตนเองไม่สามารถกระตุ้นลูกทีมให้กลับมาคืนฟอร์มได้
ขณะที่ฝั่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมีผลงานกลับกันหลังปลด โฆเซ มูรินโญ และแต่งตั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เป็นผู้จัดการทีมชั่วคราว พวกเขากลายเป็นทีมไร้พ่าย 11 นัดติดต่อกัน ก่อนที่ล่าสุดจะฟอร์มสะดุดด้วยการเปิดบ้านพ่ายให้กับปารีส แซงต์ แชร์กแมง ไป 0-2 ในเลกแรกของศึกยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย
ดังนั้นเกมที่ทั้งสองทีมจะพบเจอกันในศึกเอฟเอคัพรอบที่ 5 ในค่ำคืนนี้ จึงเป็นผลการแข่งขันที่สำคัญสำหรับอนาคตของผู้จัดการทีมทั้งสองฝั่ง
ซาร์รี กับการเก็บชัยเพื่อความอยู่รอด
แม้ว่าเกมล่าสุดเชลซีจะสามารถเอาชนะมัลโมไป 2-1 ในศึกยูโรปา ลีก แต่การทำคะแนนหลุดมือไปถึง 10 แต้มในพรีเมียร์ลีกปีนี้ ด้วยการพ่ายบอร์นมัธถึง 4-0 และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 6-0 จนตกไปอยู่อันดับที่ 6 ของตารางพรีเมียร์ลีก ทำให้สถานการณ์ของซาร์รียิ่งย่ำแย่
โดยก่อนเกมล่าสุดกับมัลโม นับตั้งแต่ต้นปี 2019 เชลซีเล่นนอกบ้านทั้งหมด 4 เกม แพ้ทั้ง 4 เกม เสียไป 13 ประตู และไม่สามารถยิงประตูได้เลย
สื่อต่างประเทศได้วิเคราะห์ว่าทั้งหมดนี้อาจเกิดขึ้นจากความพยายามของซาร์รี ที่จะยึดมั่นในแนวทางการเล่นของตนเองที่มีชื่อว่า Sarri-Ball จนทำให้มีข่าวลือว่านักเตะภายในทีมเริ่มสิ้นหวังในรูปแบบการเล่นแบบนี้
ซาร์รีทำให้สถานการณ์แย่ลงด้วยการออกมาให้สัมภาษณ์โดยยอมรับว่า นักเตะของตนมีทัศนคติที่ย่ำแย่ และเขาเองก็ไม่สามารถกระตุ้นทีมให้สามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้ ซึ่งจุดนี้อาจจะเป็นความผิดพลาดคล้ายกับ โฆเซ มูรินโญ ทั้งในช่วงเวลาที่คุมเชลซีและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเขามักจะยึดมั่นในหลักการของตนเองและชี้นิ้วโยนความผิดให้กับนักเตะ
ดังนั้นชัยชนะในเกมนี้จึงมีส่วนสำคัญในการปลุกสปิริตทีมให้ได้ เพราะความพ่ายแพ้และการตกรอบฟุตบอลเอฟเอคัพของเขาอาจหมายถึงจุดจบของอาชีพผู้จัดการทีมที่มีชื่อว่า เมาริซิโอ ซาร์รี ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ก็เป็นได้
โซลชาร์ ชัยชนะเพื่อรักษาโมเมนตัม
ตรงกันข้าม หากหันมาที่ฝั่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โซลชาร์คือแสงสว่างในเวลานี้สำหรับแฟนบอลและสโมสร เมื่อเขาสามารถนำทีมกลับมาสู่เส้นทางของชัยชนะ พร้อมกับการมอบความสุขให้กับลูกทีมด้วยอิสระในการแสดงออกทางฟุตบอล
ชัยชนะ 10 เกม จาก 11 นัด หลังจากที่เขาคุมทีมชุดเดียวกับ โฆเซ มูรินโญ โซลชาร์ทำให้สโมสรกลับมาดูเหมือนทีมเดียวกับที่เขาเคยลงเล่นในฐานะนักเตะภายใต้ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
ด้วยแผนการเล่น 4-3-3 โดยมีหัวใจเกมรุกอยู่ที่ พอล ป็อกบา กองกลางค่าตัว 89 ล้านปอนด์ เจ้าของแชมป์โลกสมัยล่าสุดกับฝรั่งเศส ทำให้ทีมสามารถเล่นเกมรุกที่มีความตื่นเต้นพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของนักเตะ
แต่จากความพ่ายแพ้นัดล่าสุดให้กับปารีส แซงต์ แชร์กแมง ทำให้โซลชาร์และลูกทีมต้องกลับมาพบเจอกับความจริงอีกครั้งว่า สโมสรอาจยังไม่พร้อมสำหรับการเก็บชัยชนะในเวทีระดับยุโรป
ดังนั้นเกมในค่ำคืนนี้กับเชลซี จึงเป็นนัดสำคัญที่โซลชาร์ต้องเก็บชัยชนะเพื่อรักษาโมเมนตัมของทีมไปสู่ความสำเร็จในฤดูกาลนี้ ซึ่งอาจส่งผลถึงสัญญาผู้จัดการถาวรกับสโมสรในฤดูกาลหน้าสำหรับ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ในถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ด
เช็กความพร้อม 2 ทีมก่อนเกม
ฝั่งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในด้านความพร้อมดูเป็นรองเชลซีที่ไม่มีนักเตะได้รับบาดเจ็บ โดยมีเพียง รูเบน ลอฟตัส-ชีค กองกลางที่ต้องเช็กความฟิตจากอาการบาดเจ็บหลัง
ส่วนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องเสีย 2 นักเตะหลักในเกมรุก ทั้ง อองตวน มาร์เชียล ดาวยิงชาวฝรั่งเศสที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในยุคของโซลชาร์และเจสซี ลินการ์ด กลางรุกอังกฤษ โดยทั้งคู่อาจต้องพักนานถึง 3 สัปดาห์
แต่โซลชาร์ก็ยังมองว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักเตะคนอื่นในการแสดงศักยภาพของตัวเอง
“นับเป็นโอกาสสำหรับนักเตะคนอื่นๆ อเล็กซิส ซานเชซ และ โรเมลู ลูกากู หรือแม้กระทั่งดาวรุ่งอย่าง ทาฮิธ ชอง (Tahith Chong) หรือ อังเคล โกเมส (Angel Gomes) ที่จะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง” โซลชาร์ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ก่อนเกม
“ทั้งมาร์เซียลและลินการ์ดต่างก็ทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม และมีความสำคัญในเกมรุกของเราจากความสามารถและความเร็ว แต่ทั้งลูกากูและซานเชซต่างก็มีความสามารถพิเศษของตัวเอง ซึ่งพวกเขาได้รับโอกาสแสดงมันออกมาในครั้งนี้”
สถิติก่อนเกม
นับเป็นครั้งที่ 14 ที่ทั้งสองทีมเจอกันในศึกเอฟเอคัพ ซึ่ง 4 นัดหลังสุดเป็นเชลซีที่เอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และหากพวกเขาสามารถกำชัยได้อีกครั้งในเกมนี้ เชลซีจะกลายเป็นสโมสรแรกที่เขี่ยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดตกรอบเอฟเอคัพเป็นครั้งที่ 5 ติดต่อกัน
ส่วนในการแข่งขันทุกรายการ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถบุกไปชนะเชลซีได้เพียง 2 ครั้งจาก 22 เกมล่าสุด โดย 9 นัดที่ผ่านมา ปีศาจแดงไม่สามารถเอาชนะเชลซีในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ได้เลย
แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนับเป็นสโมสรที่เขี่ยแชมป์เก่าตกรอบได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของรายการนี้ ด้วยจำนวน 10 ครั้ง โดยเกมล่าสุดคือการเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อฤดูกาล 2011/2012
หลังจากที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต้องจ่ายค่าฉีกสัญญากับ โฆเซ มูรินโญ และ ทีมงานที่ 19.6 ล้านปอนด์ เป็นบทพิสูจน์ว่าความผิดพลาดในการตามหาคนที่ใช่สำหรับตำแหน่งผู้จัดการทีมเริ่มจะมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งหากเชลซียังคงไม่สามารถกลับมาทบทวนบทเรียน ทั้งจากฝั่งนักเตะ ทีมงาน และผู้จัดการทีมได้ สิ่งต่อไปที่พวกเขาอาจจะต้องทำคือการเตรียมเงินค่าฉีกสัญญาไว้สำหรับผู้จัดการทีมในอนาคต
ขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากที่ล้มลุกคลุกคลานกับผู้จัดการทีมทั้ง 3 คน พวกเขาก็เริ่มพบเจอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์โอลด์แทรฟฟอร์ด ซึ่งเงาของคนที่ยืนอยู่ปลายอุโมงค์เป็นรูปร่างของคนคุ้นหน้าคุ้นตาที่เคยเดินผ่านอุโมงค์นี้มาแล้วนับไม่ถ้วนในฐานะนักเตะ ซึ่งชัยชนะในเกมนี้อาจส่งให้โซลชาร์สามารถเดินผ่านอุโมงค์แห่งนี้ในฐานะผู้จัดการทีมอย่างเต็มตัวในฤดูกาลหน้าก็เป็นได้
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: