เมื่อรากของมันมาจากความรัก ความห่วงใยเราแล้ว พี่มาคิดได้ว่าพี่จะไม่โกรธท่าน ตอนนี้ท่านไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร หน้าที่ของพี่คือทำสิ่งที่เรารักต่อไป และต้องทำให้ดีมากพอจนพ่อแม่เข้าใจ มันต้องใช้เวลา
Q: บ้านของหนูเป็นอู่ซ่อมรถและขายอะไหล่รถยนต์ แต่หนูเลือกเรียนด้านแฟชั่น พ่อกับแม่อยากให้หนูกลับมาช่วยงานที่บ้าน หนูไม่อยากทำงานที่บ้านเลยค่ะ อยากอยู่กับเสื้อผ้ามากกว่าจะอยู่กับน้ำมันเครื่องรถยนต์ แม่ก็บ่นกับหนูทุกวันจนเราทะเลาะกันบ่อยๆ หนูไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ไม่อยากให้หนูทำงานที่ชอบ หนูควรทำอย่างไรดีคะ
A: ชีวิตของพี่ช่วงหนึ่งก็คล้ายๆ กับน้องครับ บ้านของพี่เป็นหมอกันทั้งบ้าน พ่อเป็นหมอ แม่เป็นพยาบาล พี่ชายเป็นหมอ แล้วอะไรเอ่ยที่ไม่เข้าพวก ฮ่าๆ
พี่มีความสุขกับการเรียนภาษามาก พี่รักวิชาภาษาไทย รักขนาดที่เวลาขึ้นชั้นใหม่แล้วได้หนังสือเรียนใหม่ก่อนเปิดเทอม พี่จะมีความตื่นเต้นกับการเอาหนังสือเรียนภาษาไทยมาเปิดอ่านดูว่าปีนี้จะได้เรียนวรรณคดีอะไร และพี่ก็รักวิชาภาษาอังกฤษกับวิชาสังคมศึกษา ตอนต้องเลือกแผนการเรียนก่อนขึ้น ม.4 พี่จึงเทใจไปให้การเรียนสายศิลป์เรียบร้อยแล้ว
แต่ด้วยความที่บ้านพี่เป็นหมอทั้งบ้าน พ่อกับแม่พี่นึกไม่ออกว่าเรียนศิลป์แล้วจะไปทำงานอะไรต่อ พี่เองก็ยังนึกตอบตัวเองไม่ได้ว่าเรียนแล้วจะไปเป็นอะไร สำหรับเด็ก ม.3 ตอนนั้น เราไม่รู้เลยว่าโลกนี้มีอาชีพอะไรบ้าง มันเร็วมากที่เราจะต้องตอบคำถามว่าเราอยากเป็นอะไร และการศึกษาในขณะนั้นก็ไม่ใช่กระบวนการที่ช่วยให้เราหาคำตอบได้ว่าชีวิตเราต้องการอะไร เราเข้าโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือเป็นวิชาๆ ไป แต่ตอบตัวเองไม่ได้ว่าต้องการอะไรในชีวิต บวกกับความรู้วิชาแนะแนวสมัยนั้นยังมีไม่มากเท่าไร ไม่รู้เลยว่าโลกนี้มีอาชีพนักโฆษณา พีอาร์ ครีเอทีฟ สไตลิสต์ เวดดิ้งแพลนเนอร์ และอีกสารพัด เมื่อตอบคำถามไม่ได้ว่าเรียนแล้วจะไปเป็นอะไร พี่ก็เลยต้องยอมเลือกเรียนสายวิทย์ตามที่พ่อและแม่อยากให้พี่เป็นหมอ ทั้งที่ใจของพี่ไม่ไปทางนั้นเลย
ผลการเรียนของพี่ในสายวิทย์พังพินาศ ในขณะที่วิชาฝั่งศิลป์ของพี่รุ่งโรจน์ เรียนจบ ม.5 พี่ยังท่องตารางธาตุไม่ได้เลยน้อง จะไปทำอะไรต่อได้ ด้วยผลการเรียนแบบนั้น บวกกับคงสัมผัสได้ว่าลูกไม่มีความสุขเลยกับชีวิตที่ผ่านมา ทำให้พ่อแม่อนุญาตให้พี่เปลี่ยนแผนการเรียนได้ (ซึ่งแปลว่าพ่อแม่ได้ช่วยชีวิตคนไว้มากมายจากการที่พี่ไม่ต้องเป็นหมอ ฮ่าๆ)
แม้พี่จะเปลี่ยนแผนมาเรียนสิ่งที่พี่ชอบได้แล้ว แต่เอาจริงๆ พี่ก็รู้ว่าพ่อกับแม่ก็ยังนึกไม่ออกหรอกว่าพี่เรียนจบแล้วจะไปเป็นอะไร เพราะฉะนั้นโจทย์ในชีวิตของพี่ตอนนั้นจึงไม่ใช่แค่การพิสูจน์ว่าเรารักในสิ่งที่ทำจริงๆ แต่ยังต้องพิสูจน์ว่าเรารักมันมากพอ และพาตัวเองไปถึงจุดที่ประสบความสำเร็จได้จริงๆ
พี่สอบเข้าคณะวารสารศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้อย่างที่ตั้งใจ ตลอด 4 ปีที่เรียน พี่ก็รู้ว่าพ่อแม่ยังไม่มั่นใจกับเส้นทางของพี่เท่าไร เรามีเรื่องทะเลาะกันบ้างจากความไม่มั่นใจนั้น พี่จึงต้องพยายามตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด และหางานที่ดีที่สุด อะไรที่ทำดีแล้วต้องทำให้ดีขึ้นอีกเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
จากที่หวังให้พี่เป็นหมอ พ่อกับแม่พี่เปลี่ยนมาอยากให้พี่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแทน แต่พี่ก็ไม่ได้อยากจะเป็นแบบนั้น เรื่องตลกก็คือพอพี่เรียนปริญญาโท พ่อกับแม่พี่ไม่เคยพูดถึงเรื่องปริญญาโทเลย เอาแต่พูดเรื่องอยากให้พี่เรียนต่อปริญญาเอก เพราะอยากให้พี่เป็นอาจารย์แล้ว แม้กระทั่งพี่ได้ทำงานในบริษัทชื่อดังระดับโลก พ่อกับแม่ก็ยังหวังว่าพี่จะเป็นอาจารย์อยู่
มันง่ายมากที่เราจะโกรธพ่อแม่เพียงเพราะเรารู้สึกว่าท่านไม่เข้าใจเรา แต่พอพี่มาวิเคราะห์ลึกๆ แล้ว พี่ถึงเข้าใจว่าที่พ่อแม่เป็นแบบนั้นเพราะท่านรักเรา ท่านห่วง ท่านกลัว เพราะถ้าเป็นเส้นทางที่พ่อแม่เคยผ่านมาก่อน ท่านรู้ว่าท่านจะช่วยอะไรเราได้ และรู้ว่าชีวิตเราต้องไปทางไหน แต่กับเส้นทางที่ท่านไม่รู้มาก่อน ท่านกลัวว่าเราจะไปเจออะไรก็ไม่รู้ กลัวเราจะเจ็บ
พ่อแม่พี่อยู่กับการเป็นหมอมาทั้งชีวิต เพราะฉะนั้นท่านรู้ว่าชีวิตแบบหมอๆ จะไปทางไหน จะเติบโตได้อย่างไร แต่กับการทำงานสายอื่นอย่างวารสารศาสตร์ ท่านไม่รู้เลยว่าเราจะไปเจออะไร ท่านกลัวว่าจะช่วยอะไรเราไม่ได้ ท่านเคยเห็นคนทำงานเอกชนถูกเลย์ออฟ ท่านก็กลัวว่าลูกจะไปเจออะไรแบบนั้น เลยคิดว่าถ้าเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยก็คงจะปลอดภัยกว่า
เมื่อรากของมันมาจากความรัก ความห่วงใยเราแล้ว พี่มาคิดได้ว่าพี่จะไม่โกรธท่าน ตอนนี้ท่านไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร หน้าที่ของพี่คือทำสิ่งที่เรารักต่อไป และต้องทำให้ดีมากพอจนพ่อแม่เข้าใจ มันต้องใช้เวลา
เราห้ามพ่อแม่ไม่ให้ห่วงเราไม่ได้ (ยังไงพ่อแม่ก็ห่วงเราไปตลอดนั่นแหละ) บนเส้นทางชีวิตของเรา เราจะเจอคนที่ตั้งคำถามเพราะไม่มั่นใจในตัวเราหรืออะไรก็ตาม บางทีอาจจะเป็นคนใกล้ตัว แต่สิ่งที่เราทำได้คือ ถ้าเราเชื่อว่านี่คืองานที่เรารักจริงๆ พิสูจน์มันซะว่าเราไม่เพียงแต่รักมัน แต่เรารักมันมากพอจนความรักผลักดันเราไปประสบความสำเร็จได้ ถึงตอนนั้นสิ่งที่เราทำจะเป็นคำตอบให้กับคนที่ไม่มั่นใจในตัวเราเอง
พี่เชื่อว่าถ้าท่านเห็นว่าพี่มีความสุข หน้าที่การงานของพี่มั่นคงและเติบโตได้ แม้จะเป็นเส้นทางที่ท่านไม่เคยรู้มาก่อน ท่านก็จะสบายใจขึ้นเอง
ทุกวัน พี่ค่อยๆ เล่าให้ท่านฟังว่าพี่มีความสุขแค่ไหนในการทำงาน พี่ได้เรียนรู้อะไรบ้าง พี่เติบโตขึ้นอย่างไร พี่ได้โปรโมต พี่ดูแลตัวเองได้แล้ว พี่ทำถึงขนาดพาพ่อแม่ไปดูออฟฟิศ พาไปรู้จักกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน ให้คนเหล่านี้เป็นคนเล่าเองว่าเราทำงานอย่างไร มีความสุขแค่ไหน ตอนหลังพ่อแม่พี่ก็สบายใจมากขึ้น ไม่ตะล่อมให้พี่ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำแล้ว ทุกวันนี้กำลังใจสำคัญของพี่มาจากครอบครัวนี่ล่ะ
บางทีพ่อแม่ของน้องก็อาจจะเป็นแบบนั้น ท่านอยู่กับอู่รถมาตลอด มันคืออาณาจักรที่ท่านรู้ว่ามันคืออะไร แต่กับงานแฟชั่นที่น้องทำ ท่านอาจจะนึกไม่ออกว่ามันเป็นอย่างไร จะมั่นคงหรือเปล่า จะปลอดภัยไหม ท่านก็เลยกังวล พอกังวลก็อยากให้น้องมาอยู่ในอาณาจักรที่อย่างน้อยก็เป็นคอมฟอร์ตโซนของท่าน จะช่วยเหลืออะไรลูกก็ยังพอจะช่วยได้ บวกกับอาจจะเป็นห่วงพนักงานที่ทำงานอยู่ว่า แล้วถ้าไม่มีลูกของท่านมาทำงานต่อ แล้วพนักงานเหล่านี้จะอยู่กันอย่างไร ถ้าลูกมาทำก็อาจจะดีหน่อย
รากของมันคือความรัก ความห่วงใยที่มีต่อตัวน้อง ซึ่งเป็นเรื่องดีมากนะครับ ท่านอาจจะแสดงออกมาด้วยการบ่น แต่นั่นแหละ เมื่อกลับไปจุดเริ่มต้นมันก็คือความรัก เพราะฉะนั้นอย่าไปโกรธพ่อแม่เลย เราต้องขอบคุณที่ท่านห่วงเรานะ การมีคนรักเรานี่คือของขวัญที่มีคุณค่าแล้วน้อง
คงเก๋นะถ้าน้องเอาความรู้ด้านแฟชั่นเข้ามาในอู่ซ่อมรถ แฟชั่นสอนให้คนมีความคิดสร้างสรรค์ ไม่แน่นะว่าอู่ซ่อมรถของน้องอาจจะเก๋ขึ้นด้วยสไตล์ แฟชั่นไม่จำกัดอยู่แล้วนี่ว่าต้องอยู่แต่กับผ้าอย่างเดียว ชุดพนักงานอู่รถก็มีสไตล์ได้ หน้าตาอู่รถที่ไม่ดูเป็นอู่รถ แต่น้องขายไลฟ์สไตล์ที่มาพร้อมกับอู่รถได้ ให้ลูกค้าเอารถมาซ่อมและแวะดูเสื้อผ้าที่น้องขายก็ได้ เก๋ออก! อู่รถไหนๆ ก็มีหน้าตาเป็นอู่รถ แต่อู่รถของน้องจะโคตรมีสไตล์
ข้อดีอย่างหนึ่งก็คือน้องมีพื้นที่ มีธุรกิจอู่รถรองรับอยู่แล้ว ลองคิดว่าถ้ามันจะเป็นอู่รถสไตล์น้อง มันจะเป็นอู่รถแบบไหน ไม่ต้องกลัวว่าเราไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับอู่รถเลย เราเรียนรู้กันได้ แล้วเอาจุดแข็งด้านแฟชั่นของน้องมาผสานให้กลายเป็นอู่รถที่แตกต่างและเป็นจุดขาย
ตัดชุดเก๋ๆ ให้คุณนายแม่ใส่ไว้นับเงินเลยก็ได้ เป็นการค่อยๆ ทำให้แม่เห็นฝีมือเรา เห็นว่าเราจริงจังแค่ไหน แล้วทำให้แม่ตัวเอง ยังไงแม่ก็รัก หรือลองดูไหมว่า พนักงานอู่รถของเราเขาแต่งตัวกันยังไง จะทำให้แตกต่างได้ยังไง เริ่มจากเรื่องใกล้ตัวก่อนนี่แหละ
ถ้ารักแฟชั่นมาก ทำให้พ่อแม่เห็นว่าเราจริงจังกับมันแค่ไหน และเราพามันไปได้ไกลขนาดไหน ผลักดันให้ตัวเองต้องเก่งขึ้นจนมีหลักฐานพิสูจน์ให้พ่อแม่เห็น และให้ตัวน้องเองภูมิใจ มันเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลากว่าพ่อแม่จะเข้าใจ แต่พี่เชื่อว่ามันจะเป็นกระบวนการที่คุ้มค่า
ไม่ใช่ทุกคนจะรู้ว่าตัวเองรักที่จะทำงานแบบไหน แต่น้องรู้ตัวว่ารักแฟชั่น และขอให้รู้ว่ามีคนที่รักน้องอยู่
สุขสันต์วันแม่ครับน้อง
*ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบอกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai