หลังเปิดตัวสมาร์ทโฟนระดับเรือธง ‘Mate20 Series’ ทั้ง 3 รุ่นส่งท้ายปีที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา วันนี้ (25 ต.ค.) หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (ประเทศไทย) ได้นำตัวเครื่องมาจัดแสดงแบบสดๆ ร้อนๆ ให้สื่อมวลชนได้ทดลองใช้งานกันพอเป็นพิธี รวมถึงเปิดเผยกลยุทธ์ธุรกิจและภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟน ณ ปัจจุบัน
สมาร์ทโฟนตระกูล Mate Series เป็นสมาร์ทโฟนเรือธงกลุ่มพรีเมียม เซกเมนต์ (Premium Segment ราคาสูงกว่า 15,000 บาทขึ้นไป) เคียงข้าง P Series ของหัวเว่ย เริ่มจำหน่ายครั้งแรกในปี 2013 ก่อนที่ในปี 2016 จะแพร่หลายและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด หลังพัฒนาเลนส์กล้องร่วมกับแบรนด์กล้องระดับโลกอย่าง Leica
Mate20 Series มีให้เลือกถึง 3 รุ่นคือ Mate20 (24,990 บาท), Mate20 Pro (31,990 บาท) และ Mate20 X (28,990 บาท) ซึ่งน่าสนใจมากๆ เพราะเป็นรุ่นที่หัวเว่ยบุกเบิกตลาดสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมปากกาเป็นครั้งแรก เสริมด้วยหน้าจอขนาดใหญ่แบบ OLED 7.2 นิ้ว
ขณะที่ความน่าสนใจของการยกระดับจาก Mate10 มาสู่ Mate20 นอกเหนือจากดีไซน์ภายนอก สามารถสรุปได้คร่าวๆ ดังนี้
- ใช้ชิปเซต Kirin 980 แบบ 7 นาโนเมตร ทำให้ประมวลผลได้รวดเร็วขึ้น พร้อมนำ AI เข้ามาร่วมทำงานด้วย แถมการันตีว่าหลังจากใช้งานเครื่องผ่านไปแล้ว 18 เดือน ประสิทธิภาพจะลดลงเพียงแค่ 5% เท่านั้น
- รองรับการปลดล็อกด้วยใบหน้าและการสแกนลายนิ้วมือในหน้าจอ (In Screen Fingerprint เฉพาะรุ่น Pro) แยกน้ำหนักการสแกนได้ 10 ระดับ
- กล้องหลัง 3 เลนส์ พร้อมเลนส์มุมกว้างแบบ Ultra Wide (รุ่น Pro และ X มาพร้อมกล้องความละเอียด 40 ล้านพิกเซล + 20 ล้านพิกเซล + 8 ล้านพิกเซล) ดัน ISO ได้สูงสุด 120,400
- นำเทคโนโลยี Vapor Chamber และ Graphene Film มาช่วยลดความร้อนภายในตัวเครื่องระหว่างประมวลผลหนักๆ และเป็นสมาร์ทโฟนเครื่องแรกของโลกที่ใช้ระบบหล่อเย็นนี้
- แบตเตอรี่ความจุสูงสุดถึง 5,000 mAh เปลี่ยนตัวเองเป็นพาวเวอร์แบงค์ให้อุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับการชาร์จแบบ Wireless
(เริ่มเปิดพรีออร์เดอร์ 26 ตุลาคม ถึง 4 พฤศจิกายน และวางจำหน่ายวันแรก 9 พฤศจิกายน ดูข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมของสินค้าได้ที่นี่)
เปิดตัว Mate20 Series ตั้งเป้าดันยอดขายเพิ่มขึ้น 3 เท่า เชื่อเปิดตัว 3 โมเดลไม่แย่งตลาดกันเอง
จากการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงอย่าง Mate20 Series ส่งท้ายปีเช่นนี้ หัวเว่ยจึงตั้งเป้าเอาไว้ว่าพวกเขาจะได้ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าเมื่อเทียบกับ Mate10 Series ที่เปิดตัวในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากมีสินค้าที่ปล่อยออกมาในช่วงเวลาเดียวกันถึง 3 โมเดล โดยการเปิดตัวครั้งนี้คาดว่าน่าจะใช้งบลงทุนด้านการตลาดไปมากกว่า 4 เท่าเมื่อเทียบกับ Mate10
ทศพร นิษฐานนท์ รองผู้อำนวยการ หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (ประเทศไทย) กล่าวว่าในวันนี้หัวเว่ยได้ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนอันดับ 2 ของโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยตั้งเป้าว่าภายในปี 2020 หรืออีก 2 ปีข้างหน้าจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดในอันดับที่ 1 ซึ่งหลังจากที่เปิดตัว Mate20 ในเดือนนี้ คาดว่าการเติบโตในด้านยอดขายของแบรนด์หัวเว่ยจะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวแน่นอน
“การแข่งขันในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนวันนี้มีสีสันเยอะมาก ทุกแบรนด์มีการแข่งขันที่ดุเดือด แต่ประโยชน์ก็จะตกอยู่กับตัวผู้บริโภค เพราะมีตัวเลือกให้เลือกมากขึ้น ขณะที่ ณ วันนี้มีค่ายมือถือแค่ 3 ค่ายเท่านั้นที่สามารถวางจำหน่ายสินค้าในกลุ่มพรีเมียมเซกเมนต์ได้ แต่เรามั่นใจว่าด้วยนวัตกรรมที่หลากหลายของ Mate20 รวมถึงงบประมาณด้าน R&D ที่ลงทุนไปมหาศาลในแต่ละปี (10-15% ของรายได้) หัวเว่ยจะเป็นตัวเลือกแบรนด์ที่ดีที่สุดทั้งในแง่ของความคุ้มค่าและนวัตกรรม”
มีการเปิดเผยว่ารุ่นที่ได้รับผลตอบรับ ถูกถามถึงมากที่สุด และเป็นซีรีส์ที่หัวเว่ยจะให้ความสำคัญในการทำตลาดมากที่สุดคือ Mate20 Pro ซึ่งทศพรมองว่าระยะห่างด้านราคาและฟีเจอร์ที่แตกต่างกันจะทำให้ Mate20 Series แต่ละรุ่นย่อยไม่แย่งตลาดกันเอง และด้วยการวางกลุ่มเป้าหมายเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่และคนทำงานเป็นหลัก จึงทำให้ไม่แย่งลูกค้าจาก P Series ที่หวือหวาและเน้นการใช้งานเชิงไลฟ์สไตล์กว่าแน่นอน
ส่วนสาเหตุที่หัวเว่ยลงมาเล่นตลาดสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมปากกา เนื่องจากเล็งเห็นว่าผู้บริโภคในวันนี้ยังมี Pain Point อยู่ พวกเขาจึงขอเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ผู้บริโภคได้ลองใช้งาน และยังแย้มเป็นนัยอีกด้วยว่าในอนาคตหัวเว่ยอาจจะเปิดตัวสินค้าในกลุ่มนี้มากขึ้น (สมาร์ทโฟนพร้อมปากกา)
“ตลาดมือถือจอใหญ่เป็นเทรนด์ความนิยมของผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเชื่อว่าวันนี้คนที่ใช้สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมปากกายังมี Pain Point ทั้งขนาดหน้าจอที่ยังไม่สามารถใช้แทนสมุดโน้ตได้จริงๆ หรือตัวปากกาที่จับไม่ถนัดมือ หัวเว่ยจึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ออกมา แล้วเราก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งในตัวเลือกของผู้บริโภคสมาร์ทโฟนกลุ่มนี้”
ปรับกลยุทธ์ เพิ่มสัดส่วนยอดขายสมาร์ทโฟนระดับกลาง เล็งขึ้นเป็นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนภายในปี 2020
ทศพรระบุว่าจากข้อมูลล่าสุดที่ได้รับ ภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนปัจจุบันในเชิงยอดขายมีการหดตัวลงเล็กน้อยในหน่วย Digit หรือเลขหลักเดียว ส่วนในประเทศไทย หัวเว่ยยังมีการเติบโตที่ดีสวนทางภาพรวมของทั้งตลาดโทรศัพท์ และยังอยู่ในเส้นทางของการเติบโตขึ้น 50% จากปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาส 4 นี้เขาเชื่อว่าภาพรวมของตลาดมือถือไทยจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากปัจจัยบวกต่างๆ
ปัจจุบันแต่ละเดือนจะมีโทรศัพท์มือถือถูกจำหน่ายเฉลี่ยประมาณ 1.2 ล้านเครื่องในประเทศไทย แยกตาม 3 เซกเมนต์ ดังนี้
- Premium Segment (ราคา 15,000 ขึ้นไป)
- Mid Range Segment (ราคา 5,000 บาทขึ้นไป)
- Entry Segment (ราคาต่ำกว่า 5,000 บาท)
พบว่าภาพรวมของตลาดประเทศไทยอยู่ในสัดส่วน 30:40:30 แต่ในช่วงไตรมาส 4 ที่ค่ายสมาร์ทโฟนเริ่มเปิดตัวมือถือรุ่นเรือธงกันมากขึ้น สัดส่วนดังกล่าวจึงมีแนวโน้มจะขยับมาเป็น 40:40:20 หรือเน้นสมาร์ทโฟนกลุ่มพรีเมียมมากขึ้นนั่นเอง
หัวเว่ยถือเป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์โทรศัพท์มือถือที่วางจำหน่ายในไทยและมีสินค้าทำตลาดครบ 3 เซกเมนต์ ทั้ง Mate และ P Series ที่เจาะกลุ่มพรีเมียม, Nova เน้นกลุ่มตลาดกลาง และ Y Series เน้นกลุ่มล่าง โดยสัดส่วนยอดขายในบริษัทตอนนี้อยู่ที่ 30:30:40 เพราะมีสินค้ากลุ่ม Y Series วางขายเยอะ แต่ความตั้งใจต่อจากนี้คือเน้นตลาดกลางมากขึ้น และคงสัดส่วนเป็น 30:40:30 ให้ได้จนถึงปีหน้า ก่อนจะค่อยๆ เบี่ยงไปทางกลุ่มตลาดพรีเมียมมากขึ้น และตั้งเป้าไว้ว่าจะขึ้นเป็นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนกลุ่มพรีเมียมของไทยให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ หลังจากที่ปัจจุบันอยู่ในลำดับที่ 2 แล้ว
“ปัจจุบันแบรนด์ของเราได้รับการยอมรับแล้วว่าอยู่ในระดับเซกเมนต์พรีเมียม” ทศพรกล่าวต่อว่า “มีไม่กี่แบรนด์ที่ทำได้เหมือนเรา ถ้าสังเกตจะเห็นว่ามีหลายแบรนด์ที่ขายโทรศัพท์เกิน 20,000 บาท แต่มีแค่ไม่กี่แบรนด์เท่านั้นที่คนยอมรับ ตัดสินใจซื้อจริงๆ และมีส่วนแบ่งในตลาดที่ชัดเจน
“ผมเชื่อว่ากลยุทธ์การวางภาพลักษณ์แบรนด์ของเราตั้งแต่ภาพรวมระดับโลกจนถึงที่ประเทศไทยมาได้ถูกทางมาก การเป็นพาร์ตเนอร์กับแบรนด์อย่าง Leica หรือแบรนด์อื่นๆ ช่วยเราได้เยอะมากในการทำให้ผู้บริโภคยอมรับแบรนด์หัวเว่ยมากขึ้น ทำให้เขายอมจ่ายและย้ายจากค่ายอื่นมาหาเราด้วยปัจจัยกล่องถ่ายรูปที่ยอดเยี่ยมและประสิทธิภาพการทำงานของซีพียู”
ทศพรบอกต่อว่าเทรนด์ผู้บริโภค ณ วันนี้ ส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้าที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android จะเปลี่ยนเครื่องเร็วกว่าสมาร์ทโฟนของ iOS เล็กน้อย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เพราะเขาเชื่อว่า ‘จุดต่าง’ ที่จะทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจมาอยู่กับหัวเว่ยเป็นเพราะการมี ‘นวัตกรรม’ ที่โดดเด่น
“สิ่งที่ทำให้เราต่างคือนวัตกรรม ผู้บริโภคในวันนี้มองหานวัตกรรมใหม่ๆ บนสมาร์ทโฟนจนมาเจอที่ค่ายของเรา ทุกคนมองหานวัตกรรมจากสมาร์ทโฟนระดับเรือธงที่เป็นระดับการเปลี่ยนแปลงทั้งอุตสาหกรรม”
เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา IDC ผู้ให้บริการข้อมูลทางการตลาด ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าหัวเว่ยก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนที่ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 2 ของโลกแซงหน้าแบรนด์ดังจากสหรัฐฯ อย่างแอปเปิ้ลแล้ว โดยมีส่วนแบ่งจนถึงกลางปี 2018 คิดเป็นสัดส่วน 15.8% เป็นรองเพียงแค่ซัมซุงที่มีส่วนแบ่งการตลาด 20.9% เท่านั้น
เมื่อมองจากกลยุทธ์ต่างๆ การวางแผนงานเจาะตลาดโทรศัพท์มือถือครอบคลุมทั้ง 3 กลุ่มเซกเมนต์ที่ชัดเจน ตลอดจนการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ๆ บนสมาร์ทโฟนเรือธงแต่ละรุ่น ก็ต้องยอมรับว่าความตั้งใจและเป้าหมายอันสูงสุดของ ริชาร์ด หยู กรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัทหัวเว่ย ที่หวังจะพาบริษัทก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนโลกในอันดับที่ 1 ให้ได้ภายในปี 2020 หรืออีก 2 ปีต่อจากนี้ จึงไม่ใช่เป้าหมายที่ ‘ไกลเกินจริงเลยแม้แต่น้อย’
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์