×

วิเคราะห์ 5 ปัจจัยทำ เรอัล มาดริด ฟอร์มตก

23.10.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 MINS READ
  • เรอัล มาดริด ออกสตาร์ทในฤดูกาลนี้ได้ไม่สวยนัก หลังผ่านไป 9 นัดมีเพียง 14 คะแนน และไม่ชนะใครมา 5 นัดหลังสุด
  • หาก โลเปเตกี ไม่สามารถพาทีมชนะในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกกลางสัปดาห์นี้ มีโอกาสสูงที่จะถูกปลดจากตำแหน่งโค้ชของ เรอัล มาดริด

เชื่อว่าตอนนี้สาวกของยอดทีมแดนกระทิงดุอย่าง เรอัล มาดริด ต้องรู้สึกไม่ประทับใจในผลงานของทีมรักในฤดูกาลนี้แน่นอน เพราะนับตั้งแต่เปิดฉากซีซันใหม่ได้เพียงแค่ 3 เดือน เหล่าขุนพลโลส บลังโกส (Los Blancos) ทำผลงานสวนทางกับฤดูกาลที่ผ่านมาค่อนข้างมาก หลังจากลงแข่งในลีกไป 9 นัด แต่กับโกยคะแนนมาได้เพียง 14 แต้ม และล่าสุดยังไม่ชนะใครมา 5 แมตช์ติดต่อกันรวมทุกรายการ

 

ต้องบอกว่าภายหลังจากจบนัดชิงยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศที่พวกเขาเอาชนะลิเวอร์พูล พร้อมขึ้นแท่นเป็นทีมแรกและทีมเดียวที่สามารถคว้าแชมป์ยุโรปได้ 3 สมัยติดกัน เรอัล มาดริด ก็ต้องพบการเปลี่ยนแปลงในทีมอย่างมหาศาลนับตั้งแต่นั้น โดยมีจุดเริ่มต้นจาก ซีเนดีน ซีดาน ยอดโค้ชชาวฝรั่งเศส ที่ออกมาประกาศลาสโมสรชนิดที่ช็อกแฟนบอลของทีมหลังการคว้าแชมป์ยุโรปไม่กี่วัน รวมไปถึงการโบกมือลาทีมของกัปตันทีมชาติโปรตุเกสอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด หลังอยู่ค้าแข้งมายาวนานกว่า 9 ปี

 

ซึ่งเราจะมาวิเคราะห์ดูว่าสิ่งใดที่เป็นสาเหตุของการทำให้ทีม เรอัล มาดริด ฟอร์มตกได้ขนาดนี้

 

โลเปเตกี กับ 4-3-3 คลาสสิกสไตล์

ปัจจัยแรกที่ส่งผลต่อฟอร์มของทีมอย่างเห็นได้ชัดนั่นคือ การวางตัวผู้เล่นและแผนการเล่นโดย ยูเลน โลเปเตกี โค้ชปัจจุบันของทีม ซึ่งแผนการทำทีมหรือการวางแท็กติกต้องบอกว่าไม่ได้ต่างจากที่ซีดานเคยทำไว้เท่าไร โดยจะยึดแผน 4-3-3 เป็นพื้นฐานในการสู้ศึกฤดูกาลนี้ ที่นับว่าเป็นแผนคุ้นหูคุ้นตาเป็นอย่างดี รวมไปถึงนักเตะส่วนใหญ่ก็เคยร่วมงานกับโลเปเตกีมาแล้ว ในครั้งที่ยังคุมทีมชาติสเปนอยู่

 

อย่างไรก็ตามสไตล์นี้อยู่คู่กับแผนของสโมสรมาอย่างยาวนานแบบนี้ เป็นธรรมดาที่สักวันหนึ่งจะต้องถูกดักทาง กับรูปแบบที่เน้นสร้างโอกาสด้วยการบีบพื้นที่ในแนวรุก และกองหลังที่ดันขึ้นสูง จนทำให้เราเห็นอยู่ในหลายจังหวะที่สุ่มเสี่ยงต่อการโดนคู่แข่งที่มีทีเด็ดจากแนวรุก ไปจนถึงการสวนกลับเร็วอยู่เสมอ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่แก้ไม่หายจากฤดูกาลที่ผ่านมา และยังเป็นเหมือนภาพสะท้อนเป็นนัยว่า โลเปเตกี ฃอาจจะยังไม่พร้อมที่จะรับงานคุมทีมใหญ่ระดับนี้ก็เป็นได้

 

 

ขาดโด้ เหมือนขาดใจ

น่าจะเป็นอดีตนักเตะอีกหนึ่งคนที่แฟนราชันชุดขาวคิดถึงกันไม่น้อย สำหรับอดีตซูเปอร์สตาร์ของทีมอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด หากใครเคยได้ลองชมการแข่งขันที่มีชายผู้นี้ลงสนามให้ เรอัล มาดริด ก็จะเห็นความกระหายในตัวชายคนนี้จากหลายมุม ที่ไม่ว่าจะเป็นความกระหายในการทำประตู ไปจนถึงความกระหายในชัยชนะทุกครั้งที่ลงสนาม โดยสิ่งเหล่านี้เคยเป็นอีกแรงที่กระตุ้นให้ทีมทำผลงานดีอยู่เสมอ นอกจากนั้นเราจะเห็นว่าในยามที่ราชันชุดขาวต้องการประตู โรนัลโดก็มักจะเป็นผู้ประทานสิ่งนี้ให้ได้ทุกครั้งที่มีโอกาส โดยฤดูกาลที่ผ่านมาเจ้าตัวลงแข่งไปทั้งหมด 44 นัดรวมทุกรายการ และสามารถผลิตสกอร์ให้มาดริดไปทั้งหมด 44 ลูก/เฉลี่ย 1 นัด จะสามารถทำได้ 1 ประตูเลยทีเดียว แน่นอนว่าพอมาถึงจุดนี้แล้วก็ยากที่จะปฏิเสธจริงๆ ว่าการขาดหายไปของกัปตันทีมชาติโปรตุเกสรายนี้ ถือเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ เรอัล มาดริด ต้องพบกับงานที่ยากลำบากมากขึ้นในฤดูกาลนี้

 

 

จุดอิ่มตัวของนักเตะ

หลังจากที่ราชันชุดขาวคว้าแชมป์มาอย่างมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และสิ่งที่น่าจะเป็นความสำเร็จชิ้นใหญ่ของทีมคือ แชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ที่เอามาครองทีมเดียว 3 ปีติด น่าจะเป็นคำตอบชั้นดีที่จะบอกว่านักเตะของทีมนี้กำลังหมดไฟและอิ่มตัวจากความสำเร็จเหล่านี้ เพราะว่านักเตะส่วนใหญ่เกิน 80% ของทีมคือนักเตะเก่าที่อยู่คู่สโมสรมาเนิ่นนาน พอประสบความสำเร็จเยอะ ก็เป็นธรรมดาที่อาจจะทำให้แรงบันดาลใจในการลงแข่งลดน้อยถอยลง เมื่อเทียบกับช่วง 4-5 ปีที่แล้ว ที่ทีมต้องการความสำเร็จจากทุกรายการ ภายหลังการเปลี่ยนถ่ายนักเตะในหลายตำแหน่ง

 

 

เครื่องจักร(ไม่)สังหาร

9 นัด 14 คะแนน รั้งอยู่ที่ 7 ของตาราง พร้อมคะแนนห่างจ่าฝูงอย่างบาร์เซโลนาที่ 4 คะแนน นี่คือความจริงที่เรอัล มาดริด กำลังเผชิญอยู่ ภายใต้หลักการของฟุตบอลมีอยู่ง่ายๆ คือทีมที่ทำประตูได้เยอะกว่า ก็เป็นทีมที่มีโอกาสชนะ แต่กับราชันชุดขาวในฤดูกาลนี้ พวกเขากำลังประสบปัญหานี้อยู่ เพราะนับตั้งแต่ มาร์โก อเซนซิโอ ซัดประตูให้มาดริด ในนัดที่เปิดบ้านเอาชนะเอสปันญอล 1-0 วันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา เป็นเวลากว่า 480 นาที ที่พวกเขาไม่สามารถส่งบอลเข้าไปในตาข่ายของทีมคู่แข่งได้เลยจากทุกรายการที่ลงแข่ง ก่อนที่จะเป็น มาร์เซโล แบ็กซ้ายตัวเก่งที่รับหน้าที่พังประตูให้ทีม พร้อมหยุดความฝืดไว้เท่านี้ ที่เกือบจะกลายเป็นสถิติใหม่ในรอบ 116 ปีของสโมสร ที่ไม่สามารถทำประตูได้ เพราะก่อนหน้านี้สโมสรฝืดสุดๆ ก็ 495 นาทีที่เคยเกิดในอดีตกาลนานมาแล้ว นี่จึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ทำให้เห็นได้ชัดว่า เรอัล มาดริด กำลังติดพันกับปัญหาการทำประตูอย่างมาก แม้จะทำได้ 13 ประตู ตลอดการลงแข่งเกมลีกทั้ง 9 นัดที่ผ่านมาก็ตาม

 

 

ความผิดพลาดจากตลาดซื้อขายนักเตะ

ต้องยอมรับตลาดซื้อขายของ เรอัล มาดริด ในรอบที่ผ่านมาแทบไม่มีอะไรน่าสนใจ เท่ากับการที่เป็นข่าวลือเสียมากกว่า โดยบิ๊กดีลของทีมราชันชุดขาวกับตลาดซัมเมอร์ที่ผ่านมาคือการซื้อตัว ธิโบต์ กูร์ตัวส์ นายด่านทีมชาติเบลเยียม จากเชลซี ด้วยค่าตัว 31.5 ล้านปอนด์ และ มาเรียโน ดิอาซ กองหน้าจากโอลิมปิก ลียง ที่เป็นลูกหม้อเก่าของตัวเองกลับคืนสู่ถิ่น ซานติเอโก เบอร์นาบิว ด้วยราคา 35 ล้านยูโร และคนอื่นอีก 3-4 คน

 

ซึ่งถ้าหากดูแค่เพียงชื่อชั้นของนักเตะที่เสริมทัพมาก็ไม่น่าจะมีผลเสียอะไร แต่ทว่าหลังจากนักเตะที่ถูกซื้อมาเหล่านี้ได้โอกาสลงสนาม กลับไม่สามารถเค้นฟอร์มให้สมกับราคาค่าตัวที่สโมสรเสียไป ไม่ว่าจะเป็น มาเรียโน ดิอาซ ทายาทหมายเลข 7 ของทีมคนใหม่ ที่ยังปืนฝืดแบบต่อเนื่อง รวมไปถึง ธิโบต์ กูร์ตัวส์ ที่ลงเฝ้าเสาทั้งหมด 7 เกม แต่กลับเสียไปถึง 8 ประตู บางทีถ้าช่วงตลาดซื้อขายที่ผ่านมา มาดริดจริงจังกับดีลของ เอเดน อาซาร์ ที่ปัจจุบันฟอร์มร้อนแรงสุดๆ กับเชลซี ตอนนี้เหล่าขุนพลราชันชุดขาวอาจจะไม่ต้องมาประสบปัญหาที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ก็เป็นได้

 

 

จากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับ เรอัล มาดริด ดูเหมือนคนที่ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษก็คือ ยูเลน โลเปเตกี ที่ปัจจุบันต้องยอมรับว่าเก้าอี้กำลังร้อนได้ที่ ท่ามกลางข่าวลือมากมายที่เขากำลังโดนปลดออกจากตำแหน่งเฮดโค้ชในเร็ววันนี้ โดยมีแคนดิเดตอีกมากมายที่ถูกโยงให้มารับงานนี้แทนไม่ว่าจะเป็น อันโตนิโอ คอนเต้ อดีตบอสใหญ่ของเชลซี, ซานติอาโก โซลารี, โรแบร์โต มาร์ติเนซ และ อาร์เซน เวนเกอร์ ที่มีโอกาสรับงานนี้ในทันที ซึ่งก็ต้องรอติดตามกันต่อไปว่าฟางเส้นสุดท้ายระหว่าง โลเปเตกี กับสโมสรเรอัล มาดริด จะหมดลงเมื่อไร บางทีถ้าเขาไม่สามารถพาทีมเอาชนะ วิกตอเรีย เพียร์เซน ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกกลางสัปดาห์นี้ เราอาจได้เห็นการประกาศปลด โลเปเตกี พร้อมแต่งตั้งโค้ชคนใหม่ในเร็ววันอย่างแน่นอน

 

ภาพ: Goal.com / Marca / Manuel Queimadelos Alonso/Getty Images

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising