ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ Head of Economic Research บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ทำนายแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและภาคธุรกิจ ปี 2026 ผ่านรายการ Morning Wealth พร้อมสรุปภาพรวมในปี 2025 สะท้อนข้อจำกัดและเผยถึงโอกาสแห่งอนาคต เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ปีใหม่ที่จะมาถึง
10 คำทำนายภาคธุรกิจโลกปี 2026
1. ดอกเบี้ยลง แต่กฎเกณฑ์การกำกับสถาบันการเงินจะกระจัดกระจายมากขึ้น
ธนาคารกลางสหรัฐ และอังกฤษ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยใน ปี 2026 แต่กฎเกณฑ์การกำกับดูแลทางการเงินในแต่ละประเทศเริ่มแยกทางกันอย่างชัดเจน สหรัฐฯ ผ่อนปรนมาตรฐาน Basel III
ขณะที่สวิตเซอร์แลนด์เข้มงวดขึ้นหลังวิกฤต Credit Suisse จีนเร่งผสานธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ ในส่วนของไทย ดอกเบี้ยที่ลดลง ท่ามกลางหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง จะทำให้ธนาคารยังคงเข้มงวดในมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อ ทำให้สินเชื่ออาจยังไม่ฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
2. สงครามการค้าถ่วงเศรษฐกิจ
นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ จะทำให้การค้าโลกขยายตัวน้อยกว่า 2% อุตสาหกรรมรถยนต์โลหะ การขนส่งทางเรือ และยา ต้องปรับตัวรับมือกับภาษีนำเข้าและ อุปสรรคทางการค้าที่เพิ่มขึ้น
ในส่วนของไทย ประเด็น Transshipment ที่ไทยอาจโดนภาษีสหรัฐถึง 40% เป็นความเสี่ยงใหญ่ แต่ในทางกลับกัน การปรับ Supply Chain ของบริษัทข้ามชาติอาจเป็นโอกาสให้ไทยดึงดูด FDI เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการหลีกเลี่ยงภาษีจีน
3. จีนขับเคลื่อนตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะพุ่งขึ้น 15% ไปแตะ 24 ล้านคัน โดยจีนคิดเป็นมากกว่าครึ่งของตลาดโลก ผู้ผลิตรถจีนที่ถูกกีดกันจากอเมริกาจะเร่งส่งออกไปทั่วโลก BYD เริ่มผลิตในบราซิล ฮังการี ตุรกี และอาจรวมถึงอินโดนีเซีย
ในส่วนของไทย ต้องเร่งพัฒนาอุตสาหกรรม EV ให้เป็นฐานการผลิตสำหรับภูมิภาค ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยต้องปรับตัวสู่ยุค EV อย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
4. กีฬาโลกหนุนเศรษฐกิจ
ฟุตบอลโลกที่อเมริกาเหนือและกีฬาระดับโลกอื่นๆ จะผลักดันค่าใช้จ่ายด้านกีฬาสู่ระดับ 450,000 ล้านดอลลาร์ รายได้จากโฆษณาเติบโต 6% และเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยวอีก 1.8 ล้านล้านดอลลาร์
ในส่วนของไทยอาจได้ประโยชน์บ้างจากการเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ ขณะที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกีฬาและ sports marketing มีโอกาสเติบโต โดยเฉพาะการเป็นฐานการฝึกซ้อมและการจัดทัวร์ดูกีฬาสำหรับนักท่องเที่ยวในภูมิภาค
5. เทคโนโลยีสะอาดหนุนราคาโลหะ
ราคาโลหะจะพุ่งขึ้น 7% ในปี 2026 โดยนิกเกิลจะแพงขึ้น 13% จากความต้องการแบตเตอรี่และอุปทานที่จำกัด อินโดนีเซียจะห้ามส่งออกและเปิดตลาดซื้อขายนิกเกิล ราคาทองแดง ตะกั่ว และสังกะสีจะพุ่งขึ้นจากความ ต้องการของอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ในขณะเดียวกัน การผลิตเหล็กกล้า ‘สีเขียว’ ที่นำเศษเหล็กมารีไซเคิลจะเติบโตขึ้น EU และอินเดียสนับสนุนการรีไซเคิล
ในส่วนของไทยควรเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปโลหะและการรีไซเคิลเพื่อรองรับเทรนด์เศรษฐกิจสีเขียว ราคาโลหะที่สูงขึ้นอาจเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง แต่เป็นต้นทุนสำหรับอุตสาหกรรมผลิต
6. งบกลาโหมพุ่งทำสถิติใหม่
ทะลุ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ โดยสมาชิก NATO ตั้งเป้าใช้จ่าย 5% ของ GDP ภายในปี 2035 หลังแรงกดดันจากภัยคุกคามรัสเซีย-จีนและคำเรียกร้องของโดนัลด์ ทรัมป์ เยอรมนีตั้งกองทุนป้องกันประเทศพิเศษ 100,000 ล้านยูโรสหรัฐฯ จะใช้จ่ายเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ครั้งแรก
ในส่วนของไทย งบกลาโหมอาจต้องเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามใน ภูมิภาค โดยเฉพาะสถานการณ์สงครามไทย-กัมพูชา อุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยอาจได้รับการส่งเสริมมากขึ้น
7. ภาคสาธารณสุขขาดงบประมาณ แต่อุตสาหกรรมยาลดความอ้วนบูม
แม้การใช้จ่ายด้านสุขภาพโลกจะเพิ่มขึ้น 5% เป็นเกือบ 12 ล้านล้านดอลลาร์ แต่รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการป้องกันประเทศและลดหนี้มากกว่า ขณะที่ประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะญี่ปุ่นที่คนอายุเกิน 65 ปีจะทะลุ 30% ของประชากร สหรัฐฯ ตัดงบ Medicaid ทำให้โรงพยาบาลสูญเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์ ยอดขายยาจะพุ่ง 5% เป็น 1.6 ล้านล้าน โดดเด่นด้วยยาลดน้ำหนักรูปแบบเม็ด
ในส่วนของไทย การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยอาจได้ประโยชน์จากช่องว่างนี้ โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐที่ต้นทุนการรักษาสูงขึ้น ขณะที่อุตสาหกรรมยาไทยควรเร่งพัฒนาความสามารถในการผลิตยาชีววัตถุ และยาลดความอ้วน
8. ผู้บริโภคจะประหยัดมัธยัสถ์มากขึ้น
ยอดขายปลีกโตเพียง 2% จากความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั่วโลก ตลาดที่มีแนวโน้มดีคือประเทศที่พึ่งพาการค้าน้อย อินเดียและฟิลิปปินส์จะโต 5-7% จากประชากรหนุ่มสาวสงครามการค้าบังคับให้ผู้ผลิตปรับซัพพลายเชน กฎ e-commerce ใหม่ในหลายประเทศจะเข้มงวดขึ้น
ในส่วนของไทย การใช้จ่ายภายในประเทศอาจชะลอตามเทรนด์โลก โดยเฉพาะท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ธุรกิจค้าปลีกไทยต้องปรับกลยุทธ์เน้นสินค้าคุณภาพดีราคาสมเหตุสมผล
9. การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนจะเพิ่มขึ้น
พลังงานหมุนเวียนครอง 30% ของการผลิตไฟฟ้าโลก แซงหน้าสัดส่วนของถ่านหินเป็นครั้งแรก จีนเพิ่มกำลังผลิตพลังงานลมและแสงอาทิตย์กว่า 300 กิกะวัตต์ และการปล่อยมลพิษจากถ่านหินเริ่มลดลง แต่อินเดียจะยังเพิ่มการใช้ถ่านหิน ขณะที่ data center สำหรับ AI ทำให้ความ ต้องการไฟฟ้าโลกพุ่ง 3% ฝรั่งเศสและญี่ปุ่นฟื้นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จีนเริ่มก่อสร้างใหม่
ส่วนไทย ควรเร่งพัฒนาพลังงานหมุนเวียนให้ได้ตามเป้าหมาย ขณะที่ความต้องการไฟฟ้าจาก data center ที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นโอกาสสำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น Smart Grid
10. การใช้ AI จะแพร่หลาย แต่ทำกำไรยังยาก
80% ของบริษัททั่วโลกได้ทดลองใช้ generative AI แล้ว เพิ่มจากน้อยกว่า 5% ในปี 2023 แต่หลายบริษัทยังดิ้นรนหากำไรจากเทคโนโลยีนี้ เพราะต้องปรับคนและกระบวนการทำงาน อินเดีย ต้องการแรงงานที่ผ่านการฝึก AI ถึง 1 ล้านคน TSMC เร่งเปิดโรงงานซิปที่สหรัฐฯ และเริ่มผลิตซิป 2 นาโนเมตรที่ไต้หวันกฎ AI Act ของ EU มีผลบังคับเต็มรูปแบบ แต่หน่วยงานกำกับดูแลยังตามเทคโนโลยีไม่ทัน
ส่วนไทยต้องเร่งพัฒนากำลังคนด้าน AI และสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการใช้งาน AI ในภาคธุรกิจ มิฉะนั้นจะล้าหลังเพื่อนบ้านในภูมิภาค โดยเฉพาะ สิงคโปร์ที่ลงทุนอย่างจริงจัง
5 แรงขับเศรษฐกิจโลกปีหน้า
ดร.ปิยศักดิ์ระบุว่า ในปี 2026 จะมีโอกาสและความเสี่ยงควบคู่กันไป ดังนี้
1. Year of two halves
ดร.ปิยศักดิ์ เตือนว่า ในช่วง Q4/25 จนถึง Q1/26 จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจมีการเติบโตต่ำสุด จากผลกระทบของภาษีศุลกากรสหรัฐฯ ก่อนจะปรับตัวดีขึ้นในช่วง Q2/26 เมื่อภาคเอกชนปรับตัวเสร็จและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มส่งผล
2. Year of fiscal risk
ดร.ปิยศักดิ์ มองว่าสถานการณ์การคลังทั่วโลกเผชิญความเสี่ยงสูงจากการใช้จ่ายหลัง Covid-19 ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวพุ่งขึ้น 300-500 bps ในประเทศพัฒนาแล้ว
โดยสหรัฐเป็นจุดศูนย์กลางความเสี่ยง หลังมีการขาดดุลการคลังสม่ำเสมอ ปีละ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีดอกเบี้ยต่อรายได้สูงถึง 20% นอกจากนี้ หากศาลสหรัฐฯ ตัดสินว่า มาตรการกำแพงภาษีของทรัมป์เป็นปัญหา ก็อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐสูญเสียรายได้สูงถึง 400,000 ล้านดอลลาร์
3. Geopolitics
The south reunite: ปี 2026 การทำสงครามการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์จะเผชิญความท้าทายมากขึ้น จากการรวมตัวกันของ Global South เป็นกลุ่ม BRIC เนื่องจากหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มอย่างจีน ครองสัดส่วนการผลิตแร่หายาก (Rare Earth) ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำของอุตสาหกรรมเอไอ สูงถึง 80%
4. Technology
ดร.ปิยศักดิ์ มองว่า AI กำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ Wide Adoption โดยคนทั่วไปจะเริ่มใช้ AI ในชีวิตประจำวันและการทำงานมากขึ้น แต่จะช่วยสร้างผลิตภาพมากเพียงไร ยังไม่อาจสรุปได้ นอกจากนี้ การใช้ AI ที่มากขึ้น นำมาซึ่งการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
5) Climate change: ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศจะมีสูงขึ้น โดยองค์การบริหารสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) ระบุว่ามีโอกาส 71% ที่ปรากฏการณ์ La Nina จะปรากฏตลอดปี 2026 ทำให้แนวโน้มสภาพอากาศที่รุนแรงมีแนวโน้มเกิดบ่อยขึ้น
4 ความท้าทาย เศรษฐกิจไทย 2026
1. Poor econ, good policy
เศรษฐกิจจะอ่อนแอ โดย GDP ปีหน้าโตต่ำกว่าปีนี้ชัดเจน ซึ่ง Innovest X มองปีนี้ขยายตัวที่ 1.8% และปีหน้าชะลอลงเหลือโต 1.4% แต่มีนโยบายที่พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ
2. K-shape intensify
ดร.ปิยศักดิ์ ชี้ว่า ความมั่งคั่งจะกระจุกตัวอยู่ในระดับบนมากขึ้น โดยคนระดับบน 10% ครองความมั่งคั่งราว 70% ของทั้งประเทศ เนื่องจากกลุ่มคนรวยและบริษัทขนาดใหญ่สามารถฟื้นตัวได้เร็วและมีเงินเหลือ
ขณะที่ SME และประชาชนระดับรากหญ้ากำลังดิ้นรน โดย60-70% ของแรงงานเผชิญวิกฤตสภาพคล่อง ทำให้ธุรกิจที่จับลูกค้าระดับบนยังไปต่อได้ แต่ธุรกิจที่จับกลุ่มคนหมู่มาก (Frugal Economy) จะต้องทำราคาให้ต่ำ เพื่อรักษาอุปสงค์
3. Infrastructure year
แทนการแจกเงินแล้วหมดไป ดร.ปิยศักดิ์ ชี้ว่า รัฐบาลต้องมีบทบาทเป็น ‘ผู้วางรากฐาน’ ผ่านการเร่งปิดการเจรจาและอนุมัติ ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการทางพิเศษ M7, M9, M5 Land Bridge และร่าง พ.ร.บ. เขตเศรษฐกิจภาคใต้ (SEC Act) ซึ่งมีวงเงินรวมกันกว่า 5.1 ล้านล้านบาท
4. Rising fraud risk
ไทยเผชิญวิกฤตอาชญากรรมไซเบอร์ (Cyber Crime) รุนแรงที่สร้างความเสียหายกว่า 100,000 ล้านบาท โดยแก๊งอาชญากรรม มีความยืดหยุ่นสูงและจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในปีหน้า การปรับตัวด้าน Cybersecurities จะเป็นสิ่งจำเป็น และเป็นภาคธุรกิจสำคัญในปี 2026
เปิดสาเหตุ GDP ปีหน้าชะลอตัว
ไทยมีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจหลายจุด โดยการบริโภคชะลอลง และการลงทุนจะติดลบมากขึ้น โดยมีสาเหตุหลักจากปัญหาเชิงโครงสร้างของไทย 5 ประการด้วยกัน ดังนี้
1. ภาวะเงินฝืดจากสภาพคล่องตึงตัว
ไทยเสี่ยงภาวะเงินฝืด หลังเงินเฟ้อติดลบ 8 เดือนติดต่อกัน และมีแนวโน้มติดลบไปถึงกลางปี 2026 ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการผ่อนคลายนโยบายการเงิน
2. การลงทุนที่ต่ำ จาก Crowding in Effect
ไทยมีการลงทุนต่ำ เพราะไม่มีศักยภาพแข่งขันที่เพียงพอในตลาดต่างประเทศ ขณะที่ตลาดในประเทศก็ซึมเซา โดยอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization Rate) ของไทยค่อนข้างเหลือ อยู่ที่ 50%-60% ซึ่งดร.ปิยศักดิ์ หวังว่ารัฐบาลใหม่จะเข้ามาผลักดันการลงทุนใหม่ให้เกิดขึ้น
3.ความเสี่ยงการคลัง วินัยการคลัง VS Growth Engine
ไทยรายได้ไม่พอรายจ่ายตลอด และมีการขาดดุลการคลังสูงขึ้นเรื่อยๆ สร้างขีดจำกัดทางการคลัง อย่างไรก็ตาม ดร.ปิยศักดิ์ชี้ว่า รัฐต้องเลือกลงทุนเพื่อให้เกิดเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่
4.การส่งออก Transshipment AI and Quantum
สินค้าไทยอาจตอบโจทย์ตลาดโลกบ้างแล้ว ในกลุ่มสินค้าแผงวงจรพิมพ์ (PCB) แต่ยังคงมีความเสี่ยงสินค้าสวมสิทธิ์ในระดับสูง
ขณะที่ Quantum กำลังจะกลายเป็นคลื่นลูกใหม่ ที่ต่อยอดจากเทคโนโลยี AI ซึ่งไทยจำเป็นต้องปรับตัวตามให้ทันก่อนตกขบวนอีกครั้ง
5.Demand VS Supply management: Short-term fiscal vs Long term productivity
ดร.ปิยศักดิ์ แนะว่า ภาครัฐต้องเลือกบริหารอุปทานในระยะยาว เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน แทนการบริหารอุปสงค์ในระยะสั้น ซึ่งเปรียบดั่ง การตำน้ำพริก ละลายแม่น้ำ
‘ปีของทรัมป์’ คำจำกัดความ 2025
ดร.ปิยศักดิ์ สรุปปี 2025 ไว้ว่าเป็น ‘ปีของทรัมป์’ เนื่องจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ได้สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก นับตั้งแต่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
โดยความปั่นป่วนประการแรกเริ่มต้นที่สงครามการค้า จากการประกาศมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับทุกประเทศคู่ค้า ซึ่งเป็นเหตุให้ภาคธุรกิจต่างปรับตัวด้วยการเร่งส่งออก (Front-Loading) ไปยังสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี
ประการต่อมา ทรัมป์พยายามแทรกแซงความเป็นอิสระของหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ซึ่งทรัมป์กดดันว่าจะไล่ Jerome Powell ลงจากตำแหน่งประธาน Fed มาโดยตลอด เพื่อบีบให้ Fed ลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ ทรัมป์ได้ปลด BLS Commissioner อีกด้วย หลังข้อมูลการจ้างงานออกมาไม่ดี
สำหรับความปั่นป่วนประการที่สาม คือ สงครามที่ยืดเยื้อทั่วโลก ซึ่งมีแนวโน้มดีขึ้น หลังอิสราเอล-ฮามาส สามารถบรรลุข้อตกลง ‘หยุดยิง’ (Ceasefire) ในพื้นที่ฉนวนกาซาได้แล้ว แม้จะยังมีการละเมิดอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ถือว่าสามารถยุติสงครามได้ในระดับหนึ่ง
ส่วนสงครามรัสเซีย-ยูเครน ได้มีความพยายามเจรจาสันติภาพ ผ่านข้อเสนอ 28 ข้อของโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ยังไม่สำเร็จ เช่นเดียวกันกับความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งยังไม่มีทีท่าจะหยุดยิง
ด้วยความปั่นป่วนเหล่านี้ ทำให้ ดร.ปิยศักดิ์ มองว่าเศรษฐกิจโลกปี 2025 จะเติบโตชะลอตัวลงเล็กน้อยเป็น 3.2% ใกล้เคียงกับอัตราขยายตัวที่ 3.3% ในปี 2024
ท่ามกลางแนวโน้มของธนาคารกลางทั่วโลกที่มีทิศทางลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ลดดอกเบี้ยเร็วกว่า Fed ที่ระมัดระวังกับภาวะเงินเฟ้อ สวนทางกับธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ที่ขึ้นดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ AI มีการเติบโตค่อนข้างดี โดยหุ้น AI คิดเป็น 80% ของผลตอบแทนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปี 2025 แม้รายได้จากการใช้บริการยังไม่เติบโตมากนัก แต่ด้วยเม็ดเงินลงทุนมหาศาลจนเกิดเป็น Circular Financing ได้สร้างความกังวลเรื่องฟองสบู่เกิดขึ้น แต่นักวิเคราะห์หลายรายชี้ว่า Valuation ยังไม่สูงเท่ายุค dot-com และบริษัทเทคยังมีกำไรแข็งแรง กระแสเงินสดดี การลงทุน CapEx ด้าน AI ใหญ่มากจนคิดเป็น 1% ของ GDP สหรัฐฯ


