ดูจากกระแสการวิ่งทั้งในไทยและต่างประเทศ ทุกคนน่าจะเห็นตรงกันว่า การวิ่ง ทั้งเพื่อออกกำลังกาย และ เพื่อเป้าหมายในการแข่งขันทั้งระดับสมัคร เล่น และ อาชีพ สูงขึ้นมากโดยเฉพาะในปีนี้
แต่ไม่ใช่แค่ความรู้สึกของหลายๆคนเท่านั้น แต่จากที่เราได้มีโอกาสคุยกับ Mark Milde Race Director ของ เบอร์ลิน มาราธอน หนึ่งใน World Marathon Majors ภายในงาน Bangsaen21 เขามองว่าปีนี้เติบโตขึ้นอย่างรุนแรง และ เขาทึ่งมากกับวัฒนธรรมการวิ่งในประเทศไทย ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
แม้ว่านักวิ่งในไทยจะเต็มไปด้วยความท้าทาย เช่นการซ้อมวิ่งที่ทำได้เพียงเช้ามืด หรือ เย็นเท่านั้น รวมถึงเวลาแข่งขัน ทำได้เพียงปล่อยตัว ถ้าไม่เย็น ก็ต้องเช้ามืด 04.00 น. แบบที่บางแสน ซึ่งเทียบกับการวิ่งในต่างประเทศที่อากาศเย็นกว่าและสามารถปล่อยตัวงานวิ่งได้ เวลา 09.00 น. เป็นสิ่งที่ดูง่ายกว่าเยอะสำหรับคนวิ่งทั่วไป
โดยเราได้โอกาสพูดคุยกับ Mark เพื่อถามถึงมุมมองที่เขาเห็นจากเบอร์ลิน มาราธอน และ กระแสการวิ่งที่เติบโตขึ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง
การวิ่งคือ “ศาสนาใหม่” ของคนรุ่นใหม่
ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดจากการพูดคุย คือมุมมองของ Mark ต่อกระแส “Running Boom” ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก เขาชี้ให้เห็นว่าในขณะที่งานวิ่งเล็กๆ บางแห่งอาจชะลอตัว แต่งานระดับ World Majors กลับมีความต้องการพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยมี “คนรุ่นใหม่” เป็นเชื้อเพลิงสำคัญในการขับเคลื่อนกระแสนี้
Mark เปิดเผยสถิติที่น่าทึ่งจากงาน Berlin Half Marathon ซึ่งมีนักวิ่งกว่า 40,000 คน ว่าโครงสร้างประชากรนักวิ่งกำลังเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน:
• ในกลุ่มอายุ 18-25 ปี มีผู้หญิงเข้าร่วมถึง 60% ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในเบอร์ลิน
• ในกลุ่มอายุ 25-30 ปี สัดส่วนชายหญิงเท่ากันที่ 50/50
เขาเปรียบเปรยไว้ว่า “การวิ่งอาจจะเป็นศาสนาใหม่” (New Religion)
“ผมคิดว่ากระแสวิ่งถูกผลักดันโดยคนรุ่นใหม่ที่เลือกมาวิ่ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เหมือนกับชุมชนที่รวมตัวกันจัดตั้ง ชุมชนการวิ่ง (Run Clubs) ผมอาจเปรียบเทียบได้ว่าการวิ่งคือศาสนาใหม่ ในโลกตะวันตก ศาสนา สถาบันดั้งเดิมอาจจะลดลง แต่เมื่อคุณย้ายไปสู่เมืองใหม่ และ อยากหาเพื่อน ที่อยู่นอกเหนือจากเพื่อนร่วมงาน และ เชื่อมโยงกับคนใหม่ๆ หลายคนก็พยายามที่จะเชื่อมโยงกับผู้คนผ่าน ชุมชนวิ่ง พวกเขาออกไปร่วมงานวิ่ง Social Runs ระหว่างสัปดาห์ หรือ สุดสัปดาห์ หาเพื่อนใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้กระแสวิ่งเติบโตขึ้น ทำให้คนวิ่งเพิ่มขึ้น
“ผมมีความสุขมาก ในช่วงปี 1990 ผมเคยต้องเดินทางไปโปรโมทงานวิ่งของเบอร์ลิน มาราธอน เพื่อให้มันขยายใหญ่ขึ้น แต่ตอนนี้เรากลับต้องขอจำกัดคนมาวิ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพราะเราอยากให้ทุกคนมีความสุข แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย เพราะ สถานที่ และพื้นที่ๆเรามี เรามีจำกัด”
Race Director: ผู้บริหารความเครียดและจิ๊กซอว์หมื่นชิ้น
เมื่อถามถึงหน้าที่ของ Race Director ที่เบอร์ลินมาราธอน Mark อธิบายว่างานของเขาคือการดู “ภาพรวม” (Overall view) ประสานงานกับเมือง สปอนเซอร์ และดูแลทั้งนักวิ่งอีลีทและนักวิ่งสมัครเล่น
ความท้าทายสูงสุดของอาชีพนี้คือ “เส้นตายที่เลื่อนไม่ได้” (Unmovable Deadline) ต่างจากงานบริษัททั่วไปที่อาจเลื่อนวันเปิดตัวโปรเจกต์ได้ แต่วันแข่งมาราธอนถูกกำหนดไว้ตายตัวทุกปี และมีผู้คนบินข้ามโลกมาร่วมงาน การบริหารงานจึงเหมือนการต่อจิ๊กซอว์ชิ้นยักษ์ที่ต้องอาศัยอาสาสมัครกว่า 6,000 คน และพลังใจจากนักวิ่งนับหมื่น,
สำหรับคุณสมบัติของ Race Director ที่ดี Mark สรุปไว้ 3 ข้อคือ:
1. ความทนทานต่อความเครียด (Stress Resistance): เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน
2. ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity): เพื่อแก้ปัญหาหน้างานที่คาดเดาไม่ได้
3. วิสัยทัศน์ (Vision): เพื่อพางานเดินไปข้างหน้า,
ความประทับใจต่อนักวิ่งไทย: ความทุ่มเทและสีสันยามค่ำคืน
ในสายตาของ Race Director ระดับโลก เขายอมรับว่าต้อง “ยกย่อง” (Take off my hat) ให้นักวิ่งชาวไทยที่มีความทุ่มเทสูงมาก เพราะสภาพอากาศร้อนทำให้ต้องตื่นมาซ้อมตั้งแต่เช้ามืดหรือวิ่งตอนดึกเพื่อเลี่ยงแดด ซึ่งยากกว่าการซ้อมในยุโรปมาก
นอกจากนี้ เขายังสนใจวัฒนธรรม “Night Race” หรือการวิ่งกลางคืนในไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่เบอร์ลินอาจทำไม่ได้ และมองว่าการวิ่งในไทยมีการจัดการที่ดีและเต็มไปด้วยพลังงานบวก, สำหรับเขา การท่องเที่ยวที่ดีไม่ใช่แค่การนอนพักที่รีสอร์ตริมหาด แต่คือการได้ออกไปสำรวจเมืองด้วยการวิ่งหรือปั่นจักรยาน
ตำนานเบอร์ลินและก้าวต่อไปของหนึ่งในเวิลด์เมเจอรส์มาราธอน
สิ่งที่ Mark ภูมิใจที่สุดในฐานะคนทำงานเบื้องหลังตลอด 30 ปี คือการตัดสินใจย้ายเส้นชัยไปที่ ประตูบรันเดินบวร์คในปี 2004 ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของงาน, การสร้างสถิติโลก (World Records) ที่เกิดขึ้นมากที่สุดในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา, และการร่วมก่อตั้ง World Marathon Majors
สำหรับการเตรียมตัวสู่อนาคต Mark ย้ำถึงความสำคัญของการ เปิดใจ รับไอเดียใหม่ๆ จากทั่วโลก เหมือนในอดีตที่เบอร์ลินเคยแจกดอกกุหลาบให้นักวิ่งหญิงที่เข้าเส้นชัย จนงานนิวยอร์กมาราธอนนำไอเดียนี้ไปใช้บ้าง
สุดท้าย Mark ฝากข้อความถึงนักวิ่งชาวไทยว่า เบอร์ลินยินดีต้อนรับเสมอ แม้จะต้องรอคิวนานเนื่องจากความนิยมที่สูงมาก และหวังว่าจะได้พบกับนักวิ่งไทยทุกคน “ที่เส้นชัย” (See you at the finish line)


