×

นายกฯ สั่งการ ครม. เร่งเยียวยาประชาชนชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นทะเบียนศูนย์อพยพ ใช้กำนันผู้ใหญ่รับรอง

โดย THE STANDARD TEAM
23.12.2025
  • LOADING...
นายกฯ สั่งการ **ครม.** เร่งเยียวยาประชาชนชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นทะเบียนศูนย์อพยพ ใช้กำนันผู้ใหญ่รับรอง

วันนี้ (23 ธันวาคม) สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีข้อสั่งการในห้องประชุม ครม. โดยนายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง ถือว่ายังไม่เข้าสู่สภาวะปกติ และมีประชาชนจำนวนมากที่อพยพไปยังศูนย์อพยพต่างๆ รวมทั้งเงินเยียวยาที่ยังไปไม่ถึงประชาชน โดยนายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดต่อที่ประชุม ครม.

 

นายกรัฐมนตรีให้ข้อสังเกตว่า แต่ละศูนย์พักพิงฯ มีประชาชนไปอยู่อาศัยโดยให้ ปภ. นำข้อมูลผู้อพยพมาขึ้นทะเบียนได้ โดยไม่ต้องทำเอกสารตามระเบียบให้เกิดความซ้ำซ้อน โดยวันนี้ มติ ครม. รับข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ โดยให้ ปภ.บูรณาการข้อมูล เพื่อให้ง่ายต่อการเยียวยา

 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังพูดถึงภาพรวมของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่าจะคลี่คลายไปในทิศทางไหน และเมื่อไหร่ ซึ่งได้รับทราบว่า กระทรวงกลาโหม จะเริ่มมีการเจรจากับกัมพูชาตั้งแต่ 24 ธันวาคมนี้เป็นต้นไป โดยไทยยังคงยึดถือแนวทาง คือ กัมพูชาจะต้องมีการแสดงความเสียใจ ขอโทษ กับสิ่งที่กัมพูชาดำเนินการไป หากจะกลับไปสู่ปฏิญญามาเลเซียก็ต้องเป็นเรื่องของการมาคุยกัน จุดที่ต้องถอนกำลังมาใหม่ และยังไม่ชัดเจนว่า 24 ธันวาคมนี้จะจบหรือไม่ เพราะความเห็นของไทยและกัมพูชาไม่ตรงกัน

 

ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรียังพูดถึงเรื่องการบรรจุทายาทของกำลังพลที่เสียชีวิตให้เข้ามารับราชการ ที่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับการบรรจุตำแหน่งของกองทัพบก ซึ่งไม่ตรงกับวุฒิการศึกษา หรือไม่อยู่ในภูมิลำเนาตามที่กำหนด โดยได้มอบหมายให้ สำนักงาน กพ. ร่วมกับกระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาว่าสามารถปรับระเบียบต่างๆ ให้ยืดหยุ่น เพื่อสามารถบรรจุทายาทของข้าราชการ กำลังพลที่เสียชีวิตสามารถรับราชการได้

 

นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน สำหรับค่าใช้จ่ายโครงการรถตรวจสอบยานพาหนะด้วยระบบเอ็กซเรย์ แบบส่องผ่านและแบบสะท้อนกลับ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3 คัน ขณะนี้มีการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาในภาคเหนือจำนวนมาก ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งว่าอุปกรณ์ในการตรวจสอบมีไม่เพียงพอ จึงขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาล จำนวน 846 ล้านบาท เพื่อเป็นไปตามระเบียบของราชการอย่างครบถ้วน รอบคอบ และให้สำนักงบประมาณไปตรวจสอบราคาอีกครั้ง พร้อมนำเรื่องนี้เสนอต่อ กกต.ทราบ เพื่อให้มีความเห็นตามรัฐธรรมนูญ ม.169 (3) เพราะมีการยุบสภาแล้ว

 

พร้อมกันนี้ ที่ประชุม ครม. ยังอนุมัติงบกลาง เพื่อใช้ใช้จ่ายในการเลือกตั้งสส. และการออกเสียงประชามติในวันเดียวกัน โดยเป็นงบสำหรับการเลือกตั้ง 6,750 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายสำหรับการออกเสียงประชามติ 525 ล้านบาท พร้อมค่าใช้จ่ายสำหรับเจ้าหน้าที่ 1,700 ล้านบาท รวม 8,978 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณดูรายละเอียดร่วมกับกกต. ใช้จ่ายประหยัดที่สุด

 

นอหจากนี้ รัฐบาลยังได้สนับสนุนงบกลาง สำหรับกองทัพบก ในการจัดหายุทธภัณฑ์เพิ่มเติม เพื่อเสริมศักยภาพของกำลังพล อีก 206 ล้านบาท โดยรายละเอียดอยู่ในชั้นความลับ

 

ขณะเดียวกันยังเห็นชอบงบกลาง เพื่อสนับสนุนกระทรวงกลาโหม โดยผ่านกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ เพิ่มอีก 5,050 ล้านบาท และรายละเอียดอยู่ในชั้นความลับเช่นกัน

 

นอกจากนี้ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ขอมติ ครม. ในการทบทวนมติ ครม. เมื่อ 5 สิงหาคม 2568 เนื่องจากมติ ครม.ดังกล่าว มีการกำหนดหลักเกณฑ์การเยียวยาต่อผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีผลตั้งแต่ 16 กรกฎาคม ถึง 2 สิงหาคม 2568 ซึ่งมติ ครม. ครั้งนั้น ทำให้ผู้ที่ประสบเหตุหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นทหารที่ไปเหยียบกับระเบิด หรือกรณีมีการปะทะกันหลังจากวันนั้น ผู้ที่ประสบเหตุจะไม่เข้าหลักเกณฑ์เลย ดังนั้น สมช. จึงขอปรับมติ ครม.ใหม่ โดยใช้กรอบวงเงินเดิมจากวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ไปจนกว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จะเข้าสู่ภาวะปกติ โดยหลักเกณฑ์การเยียวยาเป็นเช่นเดิมทุกประการ

 

ขณะที่ ปภ. ได้ขออนุมัติ ครม. ในการปรับปรุงระเบียบการดำเนินการของประชาชนที่ลงทะเบียน เพื่อจะขอรับเงินเยียวยา เพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินการของประชาชน จากเดิมประชาชนที่จะลงทะเบียนเป็นผู้อพยพ ต้องผ่านการประชาคมหมู่บ้านของแต่ละพื้นที่ที่ประสบสาธารณภัย ให้เปลี่ยนเป็น ต้องได้รับการรับรองว่าเป็นผู้ประสบภัยตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดจากผู้นำชุมชน หรือผู้ใหญ่บ้าน หรือกำนัน คนใดคนหนึ่งเป็นผู้รับรอง (ไม่ต้องมีการทำประชาคม) เพื่อให้เกิดความสะดวกและสอดคล้องกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี

 

สิริพงศ์ ยังชี้แจงถึงเสียงวิจารณ์ต่อโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ได้ไปต่อหรือไม่ ว่า ขณะนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า บวรศักดิ์ อุวรรณโน รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ได้หารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว ว่ารัฐบาลรักษาการไม่สามารถดำเนินการโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ได้ ฉะนั้น ขอกราบขออภัยด้วย

 

ส่วนกรณีที่มนพร เจริญศรี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม แกนนำพรรคเพื่อไทย ระบุว่า โครงการเงิน 10,000 บาท ถูกตีตก เพราะรัฐบาลเสียงข้างน้อยเปลี่ยนงบไปใช้คนละครึ่งว่า ไม่เป็นความจริง คิดว่าเป็นการกล่าวที่ไม่รับผิดชอบ ต่อความล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่นโยบายของตนเอง ที่ได้หาเสียงเอาไว้ และถ้าได้กลับไปดู มติคณะรัฐมนตรี 20 พฤษภาคม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ลงมาแถลงข่าวด้วยตนเองว่า โครงการเงิน 10,000 บาท ต้องชะลอไปก่อน เนื่องจากเหตุผลต่าง ๆ โครงการเงิน 10,000 บาท มีความจำเป็นน้อยกว่าการไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

 

หากจำได้ ขณะนั้นใช้ระยะเวลาแปลงโครงการ 1.5 แสนล้าน ในเวลาเพียงไม่ถึงสัปดาห์ ซึ่งทุกอย่างเร่งรีบ เพราะให้เหตุผลว่าโครงการเงิน 10,000 บาท มีความจำเป็นน้อยกว่าโครงการเหล่านั้น ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุโครงการเงิน 10,000 บาทเฟสนั้นไม่สามารถดำเนินการต่อได้ และเมื่อรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลแล้ว ก็ไม่มีงบประมาณที่ถูกจัดสรรไว้ในโครงการเงิน 10,000 บาท

 

ขณะที่โครงการคนละครึ่งพลัส เป็นการนำงบกลางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมาใช้ โดยไม่ได้มีการตระเตรียมว่าจะนำงบประมาณมาจากแหล่งใด และหากเทียบกับเม็ดเงินมันต่างกันมาก เพราะคนละครึ่ง พลัส ใช้ 40,000 กว่าล้าน แต่เงิน 10,000 ในแต่ละเฟส ใช้กว่า 100,000 ล้าน

 

“รัฐบาลของเรากระตุ้นสั้นได้ผลยาว กระจายตัว แต่ที่ฟังชาวบ้านพูดมาโครงการที่แล้ว กระตุ้นสั้นแต่ซึมยาว” สิริพงศ์กล่าว

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising