วีร์ ศรีวราธนบูลย์ หรือ ‘วี’ ศิลปินฮิปฮอป นักสื่อสาร และครีเอเตอร์รุ่นใหม่ ประกาศเสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 23 พระโขนง-บางนา ในนามพรรคประชาธิปัตย์ หลังตัดสินใจก้าวเข้าสู่สนามการเมืองอย่างจริงจัง ท่ามกลางวิกฤตซ้อนวิกฤตที่ประเทศกำลังเผชิญ
วีร์ระบุว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยวกับการเมือง จนกระทั่งในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรงและความล้มเหลวเชิงโครงสร้างหลายด้าน ตั้งแต่ภัยพิบัติ การบริหารจัดการภาครัฐ ความขัดแย้งทางการเมือง ปัญหาคอร์รัปชัน เศรษฐกิจซบเซา ไปจนถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง
“สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ต้องถามตัวเองว่า เราจะเอาตัวรอดไปวันๆ หรือจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน” วีร์กล่าว พร้อมชี้ว่า ปัญหาส่วนใหญ่ล้วนเชื่อมโยงกับระบบการเมืองและการบริหารประเทศโดยตรง
วีร์มองว่า หนทางที่เป็นรูปธรรมที่สุดในการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาประเทศ คือการเข้าไปอยู่ใน ‘พื้นที่ทางการเมือง’ โดยเชื่อว่าหากการเมืองดีขึ้น ประเทศจะสามารถเดินหน้าต่อได้อย่างมีทิศทาง
การตัดสินใจเข้าร่วมพรรคประชาธิปัตย์ เกิดขึ้นหลังพรรคประกาศเปิดรับคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง วีร์จึงสมัครเป็นสมาชิกพรรคด้วยความตั้งใจเริ่มต้นจากการช่วยงานในด้านที่ตนถนัด ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร การสร้างคอนเทนต์ และการทำงานกับคนรุ่นใหม่ ก่อนจะได้รับการทาบทามจากผู้ใหญ่ในพรรคให้ลงสมัครรับการคัดเลือกเป็นผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร
ในที่สุด พรรคประชาธิปัตย์ได้ให้โอกาสวีร์เป็นผู้สมัคร สส. กทม. เขต 23 พระโขนง-บางนา ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมาย แต่ตัดสินใจเดินหน้าต่อด้วยความตั้งใจจริง
วีร์ย้ำว่า การเข้าสู่สนามการเมืองครั้งนี้ ไม่ได้มุ่งโจมตีหรือสร้างความขัดแย้งกับใคร แต่ต้องการทำงานเชิงสร้างสรรค์ และใช้ประสบการณ์ด้านการสื่อสาร ภาษา และวัฒนธรรมร่วมสมัย เป็นเครื่องมือเชื่อมโยงการเมืองกับประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่และคนตัวเล็กตัวน้อยในสังคม
“ไม่ว่าประชาชนจะมีมุมมองทางการเมืองแบบไหน วีเคารพในความเห็นต่าง และให้เกียรติทุกการตัดสินใจ แต่หากใครอยากสนับสนุนเสียงเล็กๆ ที่อยากเป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชน วีขอสัญญาว่าจะทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด“
วีร์ยังเปิดพื้นที่เชิญชวนผู้ที่สนใจเข้ามาร่วมทีมทำงานทางการเมือง โดยย้ำว่า การลงสมัครครั้งนี้ไม่ได้มีทุนใหญ่หรือผู้มีอิทธิพลหนุนหลัง แต่เกิดจากความเชื่อว่า “การเมืองเป็นเรื่องของเราทุกคน” และเป็นจังหวะเวลาที่ประเทศไม่อาจรอได้อีกต่อไป
อ้างอิง:


