ไมโครซอฟท์ได้ออกมาเปิดเผยถึงเทรนด์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในปี 2569 ซึ่งนับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่เทคโนโลยีจะก้าวข้ามจากการเป็นเพียงเครื่องมือทุ่นแรง ไปสู่การเป็น ‘คู่คิด’ หรือพันธมิตรที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในแวดวงเทคโนโลยี แต่จะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อทั้งภาคธุรกิจ ชีวิตประจำวัน และการแก้ไขปัญหาสำคัญระดับโลก
แนวโน้มหลักที่กำลังจะเกิดขึ้นคือการที่ AI มุ่งเน้นไปที่การสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง (Real-world Impact) โดยจะเข้าไปยกระดับศักยภาพการทำงานในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การแพทย์, การพัฒนาซอฟต์แวร์, ควอนตัมคอมพิวติ้ง ไปจนถึงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูง ความก้าวหน้านี้จะช่วยปลดล็อกข้อจำกัดเดิมๆ และนำไปสู่การค้นพบใหม่ๆ ที่จะขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วและแม่นยำยิ่งกว่าเดิม
หนึ่งในบทบาทที่น่าจับตามองที่สุดคือการใช้ AI เพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไมโครซอฟท์ได้พัฒนานวัตกรรมอย่าง ‘Aurora’ ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่มีความสามารถในการพยากรณ์สภาพอากาศและเหตุการณ์ทางสิ่งแวดล้อมได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วแบบก้าวกระโดด ช่วยให้มนุษย์สามารถรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างทันท่วงที
เทคโนโลยีดังกล่าวยังรวมถึงการพัฒนาระบบตรวจจับน้ำท่วมด้วยภาพเรดาร์จากดาวเทียมที่สามารถทะลุทะลวงผ่านเมฆและทำงานได้แม้ในเวลากลางคืน ทำให้นักวิจัยสามารถระบุพื้นที่เสี่ยงและประเมินผลกระทบได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการช่วยเหลือเกษตรกร ปกป้องโครงสร้างพื้นฐาน และลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับชุมชน
นอกจากนี้ AI ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านโครงการอย่าง ‘MatterGen’ และ ‘MatterSim’ ซึ่งเป็นเครื่องมือ AI อัจฉริยะที่ช่วยเร่งกระบวนการค้นพบวัสดุใหม่ๆ สำหรับการดักจับคาร์บอนและการพัฒนาแบตเตอรี่พลังงานสะอาด เพื่อช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสนับสนุนการใช้ทรัพยากรโลกอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ในมิติของการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญผ่าน 7 เทรนด์หลัก เริ่มต้นจากการที่ ‘AI Agent’ จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานดิจิทัลที่ช่วยจัดการงานซ้ำซ้อนและข้อมูลมหาศาล เพื่อเปิดทางให้มนุษย์ได้ใช้เวลากับงานเชิงกลยุทธ์และความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ โดยจะมาพร้อมกับมาตรฐานความปลอดภัยใหม่ที่เข้มงวดเสมือนมนุษย์คนหนึ่ง
ด้านวงการแพทย์ AI จะเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นเพียงผู้ช่วยวินิจฉัย ไปสู่การเป็นเครื่องมือคัดกรองโรคและวางแผนการรักษาที่แม่นยำ ตัวอย่างเช่น โมเดล ‘BioEmu-1’ ที่ช่วยพัฒนายา หรือ ‘RAD-DINO’ ที่วิเคราะห์ภาพเอกซเรย์ได้อย่างละเอียด ซึ่งจะช่วยลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์และแก้ปัญหาวิกฤตขาดแคลนหมอทั่วโลก รวมถึงลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ
สำหรับวงการวิจัย AI จะกลายเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ โดยสามารถร่วมสร้างสมมติฐานและควบคุมการทดลองในสาขาฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา ไปจนถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ชาญฉลาดขึ้นด้วยระบบ ‘Superfactories’ ที่กระจายตัวทั่วโลก เพื่อบริหารจัดการพลังประมวลผลให้คุ้มค่าและยั่งยืน
ในส่วนของการพัฒนาซอฟต์แวร์ AI จะก้าวข้ามการเข้าใจเพียงบรรทัดโค้ด ไปสู่การเข้าใจบริบทและความสัมพันธ์ของระบบทั้งหมด หรือที่เรียกว่า ‘Repository Intelligence’ ซึ่งจะช่วยให้คำแนะนำและแก้ไขปัญหาได้ ควบคู่ไปกับความก้าวหน้าของควอนตัมคอมพิวติ้งที่ผสานเข้ากับ AI จนเกิดเป็น ‘Hybrid Computing’
ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย และตลาดใหม่ กล่าวเสริมว่า “ในปี 2569 เราจะเห็น AI เข้ามามีบทบาทจริงในการปลดล็อกข้อจำกัดและสร้างโอกาสใหม่ๆ อย่างมหาศาล สะท้อนให้เห็นว่า AI จะช่วยให้เราก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความรับผิดชอบและสร้างผลกระทบเชิงบวกที่เป็นประโยชน์กับทุกคนได้อย่างแท้จริง”
ข้อมูลจากการใช้งาน ‘Copilot’ ในปี 2025 ยังชี้ให้เห็นว่าผู้คนเริ่มมอง AI เป็นมากกว่าเครื่องมือ แต่เป็น ‘เพื่อนคู่คิดดิจิทัล’ ที่ปรึกษาได้ทุกเรื่องตั้งแต่สุขภาพไปจนถึงความสัมพันธ์ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นและการปรับตัวของมนุษย์ในการใช้ชีวิตร่วมกับปัญญาประดิษฐ์อย่างกลมกลืน ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีของการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งเทคโนโลยี
ภาพ: AntonKhrupinArt / Shutterstock


