สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ World Justice Project (WJP) และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) อันประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการยกระดับ ‘หลักนิติธรรม’ (Rule of Law) ของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม มุ่งสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบกฎหมายไทยในสายตานานาชาติ โดยเฉพาะในกระบวนการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)
หลักนิติธรรม: รากฐานใหม่ของเศรษฐกิจและการแข่งขัน
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการ TIJ ระบุว่า หลักนิติธรรมคือหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางภาวะความผันผวนทั่วโลก นักลงทุนจะตัดสินใจจากเสถียรภาพและประสิทธิภาพของกลไกรัฐ กติกาที่เป็นธรรมและระบบยุติธรรมที่โปร่งใส โดยเฉพาะเมื่อไทยกำลังเข้าสู่มาตรฐาน OECD ความเข้มแข็งของหลักนิติธรรมจะเป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จที่สำคัญที่สุด
TIJ จึงเสนอแนวทาง Rule of Law Policy Framework เพื่อเป็น ‘เข็มทิศนโยบาย’ ที่มีความต่อเนื่องไม่ว่าการเมืองจะเปลี่ยนแปลง โดยใช้แนวทาง ‘บูรณาการทั้งสังคม’ Whole-of-Society Approach เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนร่วมกำหนดอนาคต ตั้งแต่การปฏิรูปกฎหมายไปจนถึงการคุ้มครองสิทธิประชาชน เพื่อสร้างระบบนิเวศทางสังคมที่ยั่งยืน
เปิดผลดัชนี WJP 2025: จุดแข็งและข้อท้าทายของไทย
ดร.ศรีรักษ์ ผลิพัฒน์ ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก WJP เปิดเผยข้อมูลจากดัชนีหลักนิติธรรมประจำปี 2568 (WJP Rule of Law Index 2025) พบว่า ประเทศไทยได้คะแนนภาพรวมอยู่ที่ 0.50 ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพในการรักษาสถิติท่ามกลางกระแสการถดถอยของหลักนิติธรรมทั่วโลก
– จุดแข็ง: ความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัย รวมถึงความเชื่อมั่นต่อความสุจริตของสถาบันตุลาการ
– ข้อท้าทาย: ประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ต้องเร่งปรับปรุง ปัญหาการเลือกปฏิบัติที่เพิ่มสูงขึ้น และอุปสรรคเชิงโครงสร้างในการออกใบอนุญาตภาครัฐ ซึ่งถือเป็น ‘ต้นทุนแฝง’ ของประเทศ
WJP ย้ำว่า “ข้อมูลคือเข็มทิศของการปฏิรูป” และพร้อมสนับสนุนไทยในการนำข้อมูลเชิงลึกไปแปลงเป็นยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อปิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืน
ภาคธุรกิจชี้ ‘กติกาไม่เป็นธรรม’ คือคอขวดเศรษฐกิจ
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธาน กกร. เน้นย้ำว่า หลักนิติธรรมคือโครงสร้างพื้นฐานของธรรมาภิบาล ภาคเอกชนกังวลต่อกติกาที่ไม่ชัดเจนและไม่เสมอภาค ซึ่งมีปัญหาหลัก 3 ประการ คือ การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ได้มาตรฐาน กระบวนการอนุญาตที่ซับซ้อนและใช้ดุลพินิจสูง และการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียม โดยเฉพาะต่อผู้ประกอบการ SME
กกร. จึงผลักดันโครงการ ‘Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน’ โดยใช้ระบบดิจิทัลลดการใช้ดุลพินิจและเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ พร้อมเปิดตัวแคมเปญรณรงค์ ‘ไม่เลือกคนโกง’ เพื่อสร้างความตระหนักให้ประชาชนไม่สนับสนุนผู้สมัครที่มีประวัติทุจริตหรือเกี่ยวข้องกับทุนสีเทา โดยย้ำว่าเสียงของประชาชนคือเสียงชี้ขาดในการขับเคลื่อนประเทศ
อุตสาหกรรมและการเงิน: ปลดล็อกเศรษฐกิจนอกระบบ
เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวเสริมว่า ภาคธุรกิจต้องการกติกาที่คาดการณ์ได้ เพราะความไม่แน่นอนของกฎหมายสร้างต้นทุนแฝงมหาศาล การขับเคลื่อน Thailand Rule of Law National Strategy จึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะยกระดับกติกาประเทศให้สอดคล้องกับเกณฑ์ OECD ซึ่งให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาลและการเติบโตอย่างยั่งยืน
ด้าน ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ชี้ให้เห็นว่า ความอ่อนแอของหลักนิติธรรมเชื่อมโยงโดยตรงกับเศรษฐกิจนอกระบบของไทยที่มีสูงถึง 48% ของ GDP และปัญหาอำนาจเหนือตลาดของผู้เล่นรายใหญ่ ความร่วมมือครั้งนี้ผ่านโครงการ Reinvent Thailand จะช่วยเปลี่ยนประชาชนให้เป็น ‘Informed Citizen’ ที่สามารถตรวจสอบและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเชิงนโยบายบนฐานข้อเท็จจริง ซึ่งจะนำไปสู่สังคมที่สงบสุขและเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างทั่วถึงตามเป้าหมาย SDGs ของสหประชาชาติ
ความร่วมมือระหว่าง TIJ, WJP และ กกร. ในครั้งนี้ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่สังคมที่ยึดถือหลักนิติธรรมเป็นรากฐาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนระดับโลก และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยผ่านระบบที่เป็นธรรมและโปร่งใสอย่างแท้จริง


