กระแสการดูแลสุขภาพที่ตื่นตัวไปทั่วโลกยังคงเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสวมใส่ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสมาร์ทวอทช์ที่ผู้บริโภคต่างมองหาอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เน้นความยั่งยืนด้านสุขภาพ หรือเทรนด์ ‘Longevity’ ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การมีอายุยืนยาว แต่ครอบคลุมถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ Garmin ประสบความสำเร็จในการสร้างยอดรับรู้รายได้ครึ่งปีแรกทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยมูลค่ารวมกว่า 3.34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.09 แสนล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับตลาดประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่นอย่างมาก โดย Garmin ประเทศไทยสามารถสร้างรายได้เติบโตสูงกว่า 35% ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สะท้อนความแข็งแกร่งของแบรนด์ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ข้อมูลจาก Garmin Connect ยังระบุด้วยว่าพฤติกรรมของผู้ใช้งานชาวไทยมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ โดยกิจกรรมการฝึกความแข็งแรง (Strength Training) มีอัตราการเติบโตสูงถึง 40% ตามมาด้วยกิจกรรมคาดิโอในร่มอย่างพิลาทิสและ HIIT ที่เติบโตกว่า 15% บ่งชี้ว่าคนไทยให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายที่หลากหลายและจริงจังมากขึ้น
เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดโลกและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Garmin จึงได้ตัดสินใจเดินหน้าแผนยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญด้วยการขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทยเป็นประเทศแรกของอาเซียน นอกเหนือจากโรงงานผลิตของ Garmin ที่มีอยู่หลายแห่งทั่วโลก ได้แก่ จีน, ไต้หวัน, เนเธอร์แลนด์, โปแลนด์ และ สหรัฐอเมริกา เป็นต้น
ข้อมูลจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ระบุว่าได้อนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนให้กับ บริษัท การ์มิน ชลบุรี (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยมูลค่าเงินลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อจัดตั้งโรงงานผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถเริ่มเดินสายการผลิตได้ภายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2569 เพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศและจำหน่ายในประเทศ
การเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตแห่งใหม่ในครั้งนี้ มาจากศักยภาพความพร้อมในหลายด้าน ทั้งทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ใจกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบบโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่แข็งแกร่ง รวมถึงระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัยและซัพพลายเชนที่ครบวงจร เอื้อต่อการบริหารจัดการต้นทุนและการกระจายสินค้า
โดยโรงงานแห่งนี้จะใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงเพื่อผลิตสินค้าครอบคลุมหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาอัจฉริยะ (GPS Smart Watch) อุปกรณ์นำทาง (GPS Navigator) สำหรับยานยนต์และการเดินเรือ รวมถึงเซนเซอร์วัดค่าทางสุขภาพต่างๆ
มิสซี่ ยาง ผู้จัดการประจำ Garmin ประเทศไทย กล่าวถึงทิศทางกลยุทธ์ว่า การตั้งโรงงานในไทยเป็นการตอกย้ำกลยุทธ์การขยายธุรกิจแนวดิ่ง หรือ ‘Vertical Integration’ ซึ่งหมายถึงการที่ Garmin เป็นผู้ดำเนินการเองทั้งกระบวนการ ตั้งแต่พัฒนาด้านวิศวกรรม การผลิต การตลาด ตลอดจนการให้บริการ ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพทั้งสายการผลิต และเพิ่มความสามารถในการปรับตัวให้เท่าทันการเติบโตของอุตสาหกรรมและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้
ในแง่ของสายการผลิตช่วงแรก Garmin วางแผนที่จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ยานยนต์ (Auto OEM) เป็นลำดับแรก เนื่องจากเห็นโอกาสการเติบโตของตลาดนี้ในภูมิภาคเอเชีย ก่อนจะขยายไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ ให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์
ขณะเดียวกันการมีฐานผลิตในประเทศยังจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคชาวไทยในเรื่องของ ‘Lead Time’ หรือระยะเวลาการส่งมอบสินค้าที่จะรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการสต็อกสินค้าที่มีประสิทธิภาพกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับแบรนด์ในระยะยาว
ด้านกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ในไทยนั้น Garmin ประเทศไทย ระบุว่า แบรนด์มีจุดแข็งในการเจาะตลาดแบบ ‘Specialty’ หรือตลาดเฉพาะทางที่มีความต้องการสูง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักวิ่ง นักปั่นจักรยาน หรือผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง โดยมีช่วงราคาที่กว้างตั้งแต่ระดับเริ่มต้น 5,000 บาท ไปจนถึงระดับพรีเมียม 40,000 บาท ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ประกอบกับจุดเด่นเรื่องอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ
เทคโนโลยีสุขภาพยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาสินค้า โดยล่าสุด Garmin ได้ยกระดับฟีเจอร์การติดตามการนอนหลับไปอีกขั้นด้วย ‘Sleep Alignment’ ที่วิเคราะห์รูปแบบการนอนของผู้ใช้เทียบกับจังหวะชีวภาพตามธรรมชาติ (Circadian Rhythm) เพื่อให้คำแนะนำในการปรับพฤติกรรมที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Daily Suggested Workouts และ Lifestyle Logging ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมประจำวันกับสุขภาพโดยรวม เสมือนมีโค้ชส่วนตัวคอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากมิติด้านสุขภาพ Garmin ยังให้ความสำคัญกับนวัตกรรมเพื่อความปลอดภัย หรือ ‘Innovation That Protects’ โดยเฉพาะเทคโนโลยีสื่อสารผ่านดาวเทียม inReach และฟังก์ชัน SOS ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถขอความช่วยเหลือได้แม้ในพื้นที่ไร้สัญญาณโทรศัพท์
ปัจจุบันฟีเจอร์นี้เปิดให้บริการแล้วในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และไต้หวัน สำหรับประเทศไทยทาง Garmin ระบุว่ากำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิดเพื่อผลักดันกฎระเบียบให้รองรับเทคโนโลยีดังกล่าว ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานชาวไทยในอนาคต
ในส่วนของภาพรวมรายได้ระดับโลก สัดส่วนรายได้ของ Garmin มาจากกลุ่มฟิตเนส 30% กิจกรรมกลางแจ้ง 27% การเดินเรือ 19% ยานยนต์ 15% และการบิน 14% ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจที่ดี และความแข็งแกร่งในทุกเซกเมนต์สินค้า
โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ Outdoor อย่างซีรีส์ Instinct และ Forerunner ที่ได้รับความนิยมสูงทั้งในไทยและตลาดโลก รวมถึงกลุ่ม Wellness อย่าง Venu 3 และ Venu 4 ที่ถือเป็นสินค้าฮีโร่ที่สร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับแผนงานในอนาคต Garmin ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนในช่องทางออนไลน์ (Official Online Store) ควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง พร้อมเตรียมเปิดตัวบริการใหม่อย่าง Garmin Connect Plus ที่จะมาพร้อมฟีเจอร์และข้อมูลเชิงลึกแบบ Adaptive Information เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น โดยยืนยันว่าฟีเจอร์พื้นฐานเดิมจะยังคงให้บริการฟรี แต่จะมีทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่ต้องการข้อมูลวิเคราะห์ขั้นสูงในรูปแบบสมาชิก


