วันนี้ (4 ธันวาคม) เวลา 15.00 น. ที่จังหวัดบุรีรัมย์ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และพร้อมด้วย ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, พล.ท. อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม, ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ อธิบดีกรมการปกครอง เดินทางถึงท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ตำบลร่อนทอง อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์
จากนั้น เดินทางต่อด้วยเฮลิคอปเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปยังจุดจอดสนามกีฬาเทศบาลตลาดนิคมปราสาท ตำบลปราสาท อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ และเดินทางต่อด้วยรถตู้เมอร์เซเดส-เบนซ์ สีดำ ทะเบียน นข 1881 บุรีรัมย์ ไปยังโดมอเนกประสงค์ เทศบาลตลาดนิคมปราสาท เพื่อมอบนโยบายในการรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดน และพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ให้แก่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) โดยปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ชรบ. 2,000 นาย และประชาชนในพื้นที่ รอต้อนรับ
ต่อมา เวลา 15.45 น. นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงโดมอเนกประสงค์ เทศบาลตลาดนิคมปราสาท ตำบลปราสาท อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ โดยนายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวรายงานว่า กลุ่ม 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี สระแก้ว จันทบุรี และตราด เป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญด้านความมั่นคง ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การปะทะบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยกรมการปกครองได้ขับเคลื่อนทุกจังหวัดทุกอำเภอผ่านกลไกทุกระดับ ดำเนินการตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง เชื่อมโยงข้อมูลกับกองทัพ และหน่วยงานความมั่นคง
ทั้งนี้ เมื่อมีข้อมูลแจ้งเตือนสถานการณ์ชายแดน ฝ่าย ปกครองจะสามารถยกระดับเตรียมความพร้อมพื้นที่ส่วนหลังได้ทันท่วงที และเป็นเอกภาพ ซึ่งชรบ. มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนฝ่ายปกครองในระดับหมู่บ้าน ขณะนี้ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา มีชรบ. จำนวน 115,393 คน นอกจากนี้ กรมการปกครอง ยังมีแผนเตรียมความพร้อม ในการพัฒนาศักยภาพของชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน เพื่อรองรับสถานการณ์นี้เพิ่มอีก 10,000 คน ในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา
จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวในการมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า ตนได้เห็นความเข้มแข็งของทุกท่านในวันนี้ก็รู้สึกดีใจ และมีความมั่นใจว่าทุกท่านมีความพร้อมที่จะให้การดูแลประชาชน กรณีที่หากมีสถานการณ์ใดๆเกิดขึ้น พวกท่านทั้งหลายจะได้เป็นกำแพงมหึมาที่จะทำให้พื้นที่ส่วนหลัง คือประชาชน บ้านเรือน และเขตอธิปไตยของไทยมีความแข็งแกร่ง ทุกวันนี้แม้จะยังไม่มีสถานการณ์ความรุนแรงใดๆ เพราะมีการร่วมกันจัดการพื้นที่พิพาทด้วยการปักหมุดชั่วคราวด้วยการใช้เทคโนโลยี และความคืบหน้าในการบริหารพื้นที่มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปได้ด้วยดี
อย่างไรก็ตาม อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอเราต้องไม่ประมาท และประเทศไทยก็มีความพร้อมเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของพี่น้องประชาชน อย่าลืมว่าภัยที่อาจเกิดขึ้นได้นั้น ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของความมั่นคง และการสู้รบเท่านั้น แต่ยังมีภัยอื่นๆ แม้กระทั่งภัยพิบัติรูปแบบต่างๆที่ชรบ. ที่มีหน้าที่หลักต้องดูแลพี่น้องประชาชน ทำให้ต้องมีความพร้อมอยู่ตลอดเวลาด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า แม้ตนจะมีภารกิจมากมายยุ่งเหยิงขนาดไหนก็มีความจำเป็นที่จะต้องมาพบกับพี่น้องชรบ.บ้านกรวดบุรีรัมย์ให้ได้ แม้ไม่สามารถไปได้ทั้ง 7 จังหวัด แต่มีผู้ว่าราชการจังหวัด และชรบ. มาเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน เป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลเน้นย้ำการให้ความสำคัญในการปกป้องแผ่นดิน และอธิปไตยของประเทศไทย
ถ้าจะพูดให้มีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่านั้นคือพวกเราทุกคนมีความพร้อม มีความเต็มใจ และมุ่งมั่นที่จะปกป้องแผ่นดิน และอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยของพวกเรา ซึ่งไม่ได้รวมเฉพาะแนวหน้าตามแนวชายแดนเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงพื้นที่ส่วนหลังด้วยเพราะจะเป็นขวัญกำลังใจที่ทำให้ทหารที่ปกป้องแนวเขตแดนและอธิปไตยของไทย ได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างไม่มีความกังวล ชรบ.ทุกท่านจะเป็นคำตอบให้กับพี่น้องทหารหาญของพวกเรา ว่าไม่ต้องห่วงข้างหลังเราจะดูแลเอง ขอให้ทหารได้ปกปักรักษาบ้านเมืองอย่างเต็มที่อย่าห่วงหน้าพะวงหลัง
“โทษทีเหอะวันนี้ใครอยากจะมารบด้วยก็ประสาทไม่ดีแน่ๆ เพราะเรามีความพร้อม เราไม่ใช่แค่ยิงปืนแม่น ไม่ใช่แค่กล้าลุยกล้าบุก แต่ความพร้อมของพวกเราคือเราหวงแหนแผ่นดินของเรา ผมดูสายตาของพวกเราทุกคน ไม่เห็นใครที่มีแววตาที่หวาดกลัวสักคน พวกเรารักสงบ แต่ในความรักสงบ ถ้าใครทะเล่อทะล่าเข้ามาก็มั่นใจว่ากลับบ้านไม่ได้แน่นอน”
ผมยืนยันว่าพร้อมแน่นอน แต่เราไม่ใช่ผู้ที่ชอบรุกรานใครตั้งแต่ไหนแต่ไร ในประวัติศาสตร์อาจเพลี่ยงพล้ำถูกรุกรานเข้ามาเสียดินแดนเสียสภาพไปบ้าง นั่นเมื่อหลาย 100 ปีก่อน เดี๋ยวนี้เราถอดบทเรียนจากประวัติศาสตร์ เราเรียนรู้ถึงความเป็นหนึ่งเดียวของราชอาณาจักรไทย มีความเข้าใจลึกซึ้งว่าประเทศไทย คือราชอาณาจักรผู้ใดจะมาแบ่งแยกหรือยึดครองไม่ได้”
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถามว่าพวกเรามีประสบการณ์จากสิ่งที่ตนได้พูดมาแล้วหรือยัง ก็เพิ่ง 3 เดือนกว่าๆที่ผ่านมานี้เอง เราเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่เมื่อมีเหตุการณ์รุกรานเข้ามา สิ่งที่เราทำได้อย่างรวดเร็วคือการอพยพประชาชน และดูแลกันอย่างเต็มที่ ถ้าจะบอกถึงประสบการณ์ในช่วง 3 เดือนกว่า ตอนนั้นตนยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เป็นฝ่ายค้าน ไม่ได้เป็น มท.1 พวกเราเป็นผู้แทนราษฎรของทุกคน แต่เราอาสามาช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด และใช้ทุกองคาพยพที่เรามีมาทำงานร่วมกัน ตนต้องชื่นชมผู้ว่าหลายจังหวัด ที่ไม่กลัวว่าทำงานร่วมกับฝ่ายค้านแล้วตัวเองจะถูกย้ายหรือไม่ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อำนาจเจริญคนเก่า คือที่เห็นชัดๆ
ส่วนที่ไม่ได้เอ่ยชื่อคือเห็นไม่ชัด เพราะกลัวที่จะทำกับฝ่ายค้าน ตอนที่มีภัยไม่มีฝ่ายค้านไม่มีฝ่ายรัฐบาล มีแต่ประชาชนมีแต่ชีวิตคน ที่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้พอทำแล้วจะเป็นพลัง 4 จังหวัดในอีสานใต้ดูแลซึ่งกันและกัน ไม่ขาดอาหารอุปกรณ์ยังชีพ และรูปแบบนี้ก็สามารถนำไปใช้ในจังหวัดอื่นๆเวลามีภัย ตอนนั้นไม่ได้เป็นรัฐมนตรีก็เอารถตู้มาทิ้งไว้คันหนึ่งวิ่ง 3-4 จังหวัด วิ่งทุกที่ทุกจุดไม่ได้รบกวนระบบราชการ แต่สามารถช่วยบริหารสถานการณ์ได้ บุรีรัมย์เหมือนครัวใหญ่กระจายสิ่งของไปยังทุกๆจุด
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตรงนี้ต้องทำเป็นแผนปฏิบัติเป็นขั้นเป็นตอน ผู้ว่าฯที่เข้ามาใหม่ถ้ายังไม่มั่นใจให้แจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ แล้วบอกแผนปฏิบัติ เราไม่ทิ้งกันอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลาจะสามารถทำได้จริงๆ จะทำให้ทหารเดินหน้ารักษาอธิปไตยได้อย่างเต็มที่จนวันนี้การปะทะอย่างจริงจังยังไม่มี เพราะถ้าเขาเข้ามารู้ว่าแย่แน่
“ผมไม่ได้มายุมาเยาะเย้ย แต่เราต้องจำไว้ว่าแม้หวังตั้งสงบต้องเตรียมรบให้พร้อมสรรพ เราคนไทยทุกคนรักสงบอยู่แล้วอยู่ในเพลงชาติอยู่แล้ว ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด คำนี้มีความหมาย เพราะความนิ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ความมั่นคงไม่ใช่ของฝ่ายทหารหรือกองทัพอย่างเดียว พวกเราที่อยู่ในชุมชนคนที่พี่น้องประชาชนต้องคิดถึงเป็นคนแรก คือผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ชุดรักษาความปลอดภัย ตรงนี้เราต้องมีความพร้อมในการสื่อสาร ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดมีแผนที่จะใช้ใน 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชาอยู่แล้ว ซึ่งในส่วนของการเตรียมศูนย์อพยพให้เป็นเหมือนจุดรวมพลัง หลายหน่วยงานต้องบริหารจัดการศูนย์พักพิงให้มีความอุ่นใจ และปลอดภัย
ตรงนี้ขอย้ำว่า ทำได้โดย 4 จังหวัดอีสานใต้ทำมาแล้ว อาหารการกินมีคุณภาพ นึกถึงสิทธิความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่มีแต่ข้าวไข่ต้มฟองนึงไก่ทอด 2 อันเล็กๆ คนที่รับผิดชอบเรื่องอาหารต้องถามตัวเองว่ากระเดือกเข้าไปได้หรือไม่ ถ้ากระเดือกเข้าไปไม่ได้อย่าเอาไปให้พี่น้องประชาชน ผู้ว่าราชการจังหวัดอย่าบอกว่าทำไม่ได้ เพราะได้ทำมาแล้ว ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ได้ตั้งมาตรฐานไว้แล้ว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คราวที่แล้วตนไม่ได้เป็น มท.1 คราวนี้ตนเป็นมท.1 และเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย ดังนั้น คำว่าไม่ได้ ตนรับจากพวกท่านไม่ได้แน่นอน ไม่มีเหตุผลใดๆทั้งสิ้น เพราะเป็นฝ่ายค้านยังทำได้ วันนี้มาเป็นรัฐบาลอยู่ในจังหวัดที่มีความสุ่มเสี่ยงท่านต้องทำให้ได้ ต้องระดมด้วยความรวดเร็ววันนี้ 7 ผู้ว่าราชการจังหวัดกลับไป จะต้องวางแผนเรื่องอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เกิดเหตุไม่มีใครที่จะมาพูดกับตนว่าจัดการเรื่องพวกนี้ไม่ได้ ที่ศูนย์พักพิงเข้าไปแล้วก็เหมือนศูนย์พักพิงที่สนามไอโมบาย ที่มีความพร้อมดูแลทุกอย่าง
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดทุกท่านทำการบ้านล่วงหน้า คำสั่งวันนี้เสร็จเมื่อวานอย่านึกว่าไม่มีในโลก อย่าคิดว่า มท.1 ทำเป็นเขียนเท่ๆเก๋ๆ คำว่าสั่งวันนี้เสร็จเมื่อวานถ้าจะเกิดขึ้นใน 7 จังหวัดคนสั่งไม่ใช่ มท.1 แต่คนสั่งคือประชาชน ท่านต้องเข้ามาในพื้นที่ และดำเนินการให้ครบถ้วนสมบูรณ์ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 7 ท่าน ผมสัมผัส และรู้จักทุกท่าน มั่นใจว่าพวกท่านทำได้ ส่วนเรื่องการสื่อสารระบบข้อมูลต้องรวดเร็ว และถูกต้อง ตนยืมสตาร์ลิงก์ (Starlink) ทหารมาแล้ว ดังนั้น 7 จังหวัดนี้ถึงเวลาระบบการสื่อสารต้องรวดเร็วแม่นยำทันที
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังจะไม่ใช่แผนบนเศษกระดาษ แต่จะต้องเป็นแผนที่ทุกคนต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เมื่อถึงเวลาปฏิบัติได้จริงในทุกชุมชน แต่สิ่งที่ตนพูดหวังอย่างเดียวขออย่าให้มันเกิดขึ้น หรือต้องนำมาถูกปฏิบัติ แต่ต้องมีความพร้อมเอาไว้ นี่คือความหวังแต่ในความหวังแฝงไปด้วยความพร้อม
อย่างไรก็ตาม ตนมาจากกรุงเทพฯพอมาถึงที่นี่คันไม้คันมือตลอดเวลา มันมีความคึกเหมือนกัน มีความคิดว่าถ้ามันเกิดอย่างนี้จะต้องทำอะไรบ้าง และขอพูดอย่างไม่อายตอนนั้นเป็นมท.1 ตอนมีเหตุการณ์ที่มีการปะทะกัน ตนเตรียมชุด อส.แล้ว มันก็ประเทศของตนเหมือนกัน เขาไม่ได้บอกว่าห้ามคนไทยคนใดคนหนึ่งปกป้องผืนแผ่นดิน ถ้ามันจะต้องเกิดการต่อสู้กันเพื่อรักษาดินแดนปกป้องเอกราช เห็นตนอยู่กับท่านแน่นอน เพราะอยากมาอยู่แล้ว แต่อย่างที่บอกอย่าให้มันถึงจุดนั้นเลย
นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายว่า ปกติตอนลงพื้นที่ ตนจะมีเสียงตลกโปกฮาสร้างความคุ้นเคย แต่วันนี้ต้องมีวินัย เพราะเราต้องไปดูแลพี่น้องประชาชนอีกมากมาย เราสวมเครื่องแบบ และมีหน้าที่ที่จะต้องพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง ต้องพูดคุยกันอย่างเป็นทางการ วันนี้ขอซีเรียสหน่อย เพราะเป็นเรื่องชีวิตทรัพย์สินความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน
จากนั้น นายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางมาที่โรงเรียนนิคมสร้างตนเอง 1 รับชมการสาธิตแผนเผชิญเหตุการณ์ตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง และพบปะให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน



