ประเด็นร้อนวงการตลาดทุนไทยล่าสุด หนีไม่พ้นการแถลงของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เกี่ยวกับการยึดหุ้นของหลายบริษัทจดทะเบียนไทย และหนึ่งในนั้น ซึ่งมีมูลค่ามากที่สุดคือหุ้นของ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) มูลค่าราว 6 พันล้านบาท เพื่อตรวจสอบว่ามีความเชื่อมโยงกับการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่
ไม่เพียงแค่ ปปง. เท่านั้น แต่เรายังเห็นหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการเพื่อสร้างความชัดเจนในเรื่องนี้ ทั้ง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือแม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ปปง. แจงยึดหุ้น ‘บางจาก’ มูลค่า 6 พันล้านบาท เชื่อมโยง ‘เบน สมิธ’ พร้อมระบุมีหุ้นอีกหลายตัวที่เกี่ยวข้อง
ในการแถลงเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา ถึงผลสืบสวนขยายผลและบูรณาการร่วมกันระหว่างสำนักงาน ปปง. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ (Scammer) ที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการฉ้อโกงประชาชน คณะกรรมการธุรกรรม มีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์สินในคดีสำคัญ 4 กลุ่มคดีใหญ่ อายัดเงินในบัญชีรวมมูลค่ากว่า 10,165 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนมีการนับรวมหุ้นของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ที่มีความเชื่อมโยง เบน สมิธ มีมูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ คำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินดังกล่าวมีผลชั่วคราวไม่เกิน 90 วัน โดยผู้ถูกยึดทรัพย์หรือผู้มีส่วนได้เสียสามารถยื่นคำร้องพร้อมหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ว่าทรัพย์สินดังกล่าวไม่ได้มาจากการกระทำความผิด ต่อเลขาธิการ ปปง. ได้ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง
ด้านเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. กล่าวว่า ปปง.ได้ประสานงานกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า คดีนี้มีจุดเริ่มต้นคือ บัญชีม้าที่ใช้ในการลักลอบทำธุรกรรมเกี่ยวกับเงินฝากของธนาคาร คือ นางสาวแตงไทยฯ เป็นบัญชีม้า ได้รับมอบอำนาจในการดำเนินการ พบว่าในช่วงปี 2560-2565 มีการทำธุรกรรมรับโอนเงินที่ได้จากการทำความผิดจากกลุ่มของนายยิม เลียก ภรรยา และกลุ่มเบน สมิธ
เมื่อผู้สื่อข่าวตั้งคำถามว่ามีหุ้นอะไรบ้างของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของบริษัทอะไรบ้างที่มีความโยงการยึดทรัพย์ในครั้งนี้ เลขาธิการ ปปง.ระบุว่า
“มีหุ้นหลายตัวที่มีความเกี่ยวข้องกับกรณีนี้ แต่ตัวที่ใหญ่ ปปง. ยึดอายัดไว้ คือหุ้นของบริษัทบางจาก มูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคา ณ วันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา หากราคาหุ้นขึ้นไปอีกมูลค่าก็อาจสูงกว่านี้ ซึ่งเราตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นทรัพย์ที่มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด หุ้นพวกนี้ยึดไว้ตามกรอบกำหนดคณะกรรมการธุรกรรมของ ปปง. มีระยะเวลา 90 วัน ซึ่งเขามีสิทธิ์พิสูจน์ภายใน 30 วัน หากพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่ทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิด ก็เป็นอำนาจของคณะกรรมการธุรกรรมจะเพิกถอนคำสั่งอายัดต่อไป โดยยืนยันว่าการดำเนินการของ ปปง. มีการดำเนินการ อย่างรอบคอบและระมัดระวัง” เทพสุ กล่าว
ปมปริศนาผู้ถือหุ้นใหญ่บางจาก กดดันราคาหุ้น
นลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า สิ่งที่น่ากังวลเกี่ยวกับหุ้น BCP ในปัจจุบันและเป็นความกังวลของนักลงทุนซึ่งส่งผลต่อราคาหุ้นบางจากคือ ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่อย่าง ALPHA Chartered Energy
“ตราบใดที่ (ข้อสงสัยเกี่ยวกับ ALPHA Chartered Energy) ยังไม่คลี่คลาย เชื่อว่าจะยังเป็นประเด็นกดดันราคาหุ้นบางจากต่อไป”
เนื่องจาก 2 เหตุผลสำคัญ ได้แก่ 1.ความไม่มั่นใจของนักลงทุนว่าในอนาคต ALPHA Chartered Energy จะขายหุ้นที่ถืออยู่ออกมาหรือไม่ และ 2.กลยุทธ์ของ BCP จะเป็นอย่างไรต่อไป หลังจากการเข้ามาของ ALPHA Chartered Energy ซึ่งมีตัวแทนในบอร์ด 2 ที่นั่ง
ตลท. ยืนยันยึดหุ้นบางจาก ไม่กระทบสภาพคล่องซื้อขาย
อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า สำหรับข้อกังวลเรื่องผลกระทบต่อสภาพคล่องในตลาด (Free float) จากหุ้น BCP ที่โดนยึดไปนั้น เบื้องต้น ตลท. ติดตามการซื้อขายหุ้นทุกตัวอยู่แล้ว พบว่าปริมาณการซื้อขายหุ้น BCP ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงไม่กระทบกับ free float เนื่องจากหุ้นมูลค่า 6,000 ล้านบาท ไม่ได้ถูกซื้อขายในตลาดอยู่แล้ว
ปัจจุบันหุ้น BCP มี Free float อยู่ที่ประมาณ 50.6% โดยสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เป็นนักลงทุนสถาบัน ทำให้ผลกระทบต่อสภาพคล่องโดยรวมไม่มากนัก อีกทั้ง
ตลท.มีกฎเกณฑ์ที่ป้องกันอยู่แล้ว ส่วนทางด้านของบริษัทเองก็มีการประกาศตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ ประเมินสถานการณ์และเสนอแนวทางการดำเนินงานในเบื้องต้น เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนักลงทุน
สำหรับกรณีบริษัทจดทะเบียนอีก 7 แห่ง ที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ต่างชาติผ่านการใช้บุคคลอื่นถือหุ้นแทน (นอมินี) ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบของ ก.ล.ต. ปัจจุบันยังไม่ได้มีหน่วยงานไหนติดต่อเข้ามาขอข้อมูลเพิ่มเติมจากตลท.
ทั้งนี้จากกรณีซุกหุ้นผ่านนอมินีดังกล่าว ทำให้เกิดข้อกังวลว่าเป็นผลพวงมาจากกระบวนการเปิดข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนที่ไม่โปร่งหรือไม่ อัสสเดช อธิบายเพิ่มเติมว่า บริษัทจดทะเบียนมีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อมูลผลประกอบการ สถานะการเงิน นโยบายกำกับกิจการ รวมไปถึงรายงานความยั่งยืน เพื่อให้นักลงทุนประเมินความเสี่ยงได้ จากการตรวจสอบของ ตลท.ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า บริษัทจดทะเบียน 800 แห่ง มีการเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้อง แต่ในส่วนของธุรกรรมผู้ถือหุ้นไม่ใช่หน้าที่ของบริษัทจดทะเบียนที่ต้องเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว
ก.ล.ต. เร่งสางโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียน
พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า การตรวจสอบกรณีผู้ถือหุ้นที่อาจเกี่ยวข้องกับเงินไม่ถูกกฎหมายในบริษัทจดทะเบียนเป็นเรื่องที่ดำเนินการมานานแล้ว โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบว่า ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ (ที่ถึงเกณฑ์ต้องรายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ หรือเกณฑ์ทำ Tender Offer) เป็นผู้ถือหุ้นที่แท้จริง หรือไม่ (Beneficial Owner) ไม่ใช่เพียงผู้ถือหุ้นในนาม (Nominee)
การตรวจสอบดังกล่าวได้รวมถึงการขอความร่วมมือจากหน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ในต่างประเทศภายใต้บันทึกความเข้าใจพหุภาคี (MMOU) โดยเป็นการประสานงานในเชิงลึก มีการประชุมร่วมกันเพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ร้องขอถูกต้อง และได้เริ่มการทำงานในส่วนของข้อมูลที่ได้รับจาก ปปง. แล้ว พร้อมย้ำว่าการตรวจสอบจะเน้นไปที่โครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียน
ก.ล.ต. ยืนยันว่าได้ให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับ ปปง. อย่างต่อเนื่อง โดยมีการทำหนังสือขอความร่วมมือและขอเอกสารข้อมูล พยานหลักฐานต่างๆ จาก ปปง. ซึ่งรวมถึงการที่คณะผู้บริหารนำโดยเลขาธิการ ก.ล.ต. ได้เข้าไปพบกับเลขาธิการ ปปง. เพื่อพูดคุยและประสานความร่วมมืออย่างเป็นทางการ
“เราได้รับข้อมูลมาแล้ว และ เริ่มทำงานเลย ในส่วนนี้เพิ่มเติม โดยสิ่งที่เราต้องการข้อมูลคือ เพื่อนำมาสนับสนุนในเรื่องของการตรวจสอบว่าใครเป็น ผู้ถือหุ้นที่แท้จริง ตามที่ ก.ล.ต. กำลังพิจารณาอยู่” แหล่งข่าวจาก ก.ล.ต. ระบุ
อย่างไรก็ตาม ในการตอบคำถามเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการอายัดหุ้น และการเปิดเผยรายชื่อผู้ซื้อผู้ขายในเคสที่เกี่ยวข้อง ก.ล.ต. ไม่ลงไปในหุ้นใดหุ้นหนึ่ง แต่ยืนยันหลักการกำกับดูแลว่า:
- ขอบเขตอำนาจ: สิ่งที่ ก.ล.ต. ดูอยู่คือ เรื่องของผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียน ไม่ใช่การเข้าไปตรวจสอบในส่วนของการประกอบการของบริษัท
- ความสำคัญ: การตรวจสอบเหล่านี้เป็นงานบังคับใช้กฎหมาย ที่ ก.ล.ต. ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก (Priority) และยืนยันว่าจากการตรวจสอบในที่สุด จะต้องทราบว่าใครเป็นผู้ซื้อผู้ขายและเป็นผู้ถือหุ้นที่แท้จริง
ทั้งนี้ ก.ล.ต. ขอชี้แจงว่า คำถามที่เกี่ยวข้องกับอำนาจการอายัดทรัพย์ของ ปปง. เช่น ระยะเวลาการอายัดนั้น ไม่ใช่อำนาจตามกฎหมายของ ก.ล.ต. จึงไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ แต่ในเชิงหลักการ ปปง. มีอำนาจในการอายัดอยู่เป็นระยะหนึ่ง
พรอนงค์ กล่าวย้ำว่า การดำเนินการทางกฎหมายของ ก.ล.ต. ให้ความสำคัญกับความถูกต้องตามกระบวนการ (Due Process) และพร้อมจะดำเนินการกับผู้ที่มีหน้าที่รายงานหรือมีหน้าที่ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer) หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
คุมเข้ม ‘ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล’ (DA) หวังสกัดเงินเทา
จอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการ ก.ล.ต. ได้กล่าวถึงมาตรการในการจัดการกับมิจฉาชีพที่ใช้คริปโตเป็นช่องทางในการฟอกเงิน ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักคือ
- แพลตฟอร์มต่างประเทศ: ก.ล.ต. ดำเนินการกล่าวโทษแพลตฟอร์ม DA ต่างประเทศที่เข้ามาทำตลาดกับคนไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต และประสานกระทรวง DE เพื่อใช้ พ.ร.ก. ไซเบอร์ ในการปิดกั้นการเข้าถึง
- แพลตฟอร์มไทย: มีการยกระดับมาตรฐานการทำ KYC/CDD (Know Your Customer/Customer Due Diligence) และการจัดทำ Customer Profiling ของผู้ประกอบธุรกิจ DA ในประเทศ ทำให้สามารถยับยั้งบัญชีม้าได้จำนวนมาก และเตรียมพร้อมสำหรับการนำ Travel Rule มาใช้ร่วมกับ ปปง. เพื่อติดตามข้อมูลผู้โอน/ผู้รับโอนสินทรัพย์ดิจิทัล
ทั้งนี้ ก.ล.ต. ยืนยันว่า ปัญหาเรื่องสแกมเมอร์และเงินเทาเป็นวาระสำคัญที่ได้ทำงานร่วมกับหลายหน่วยงานรัฐบาลอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการชุดของนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการ DE และคณะทำงาน Connecting the Dot ของกระทรวงการคลัง
“สำนักงานก.ล.ต. ให้ความสำคัญกับความเชื่อมั่นของตลาดทุน โดยมุ่งมั่นที่จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการละเว้น หากหลักฐานไปถึงใคร สำนักงานพร้อมดำเนินการทันที เพื่อให้มั่นใจว่าตลาดทุนและตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลจะไม่เป็นช่องทางในการกระทำความผิด” พรอนงค์กล่าวสรุป
สรุป 6 มาตรการหลัก ก.ล.ต. ในการสกัดเงินเทา-สแกมเมอร์
- การทำงานร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ (ปปง., DE, ตำรวจ, ธนาคารพาณิชย์) ผ่านคณะกรรมการต่างๆ
- การยกระดับมาตรฐานตัวกลาง (โบรกเกอร์/DA Platform) ในการทำ KYC/CDD และการติดตามธุรกรรมที่น่าสงสัย
- การผลักดันแก้ไขกฎหมาย เพื่อกำหนดให้ตัวกลางต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายในกรณีที่มีมาตรการหละหลวม
- การใช้กฎหมายเพื่อปิดแพลตฟอร์ม DA ต่างประเทศ ที่ไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.ก. ไซเบอร์
- การติดตามดูเรื่องโครงสร้างการถือหุ้นใหญ่ของ บจ. และการบังคับใช้กฎหมายหากพบความผิดปกติ
- การยับยั้งความเสียหายจากการหลอกลวงลงทุน เช่น การตั้งศูนย์ช่วยเหลือ และการปิดเว็บไซต์/แพลตฟอร์มหลอกลวง
แจงความคืบหน้าคดี JKN และการติดตามผู้ถูกกล่าวโทษ
สำนักงานก.ล.ต. ได้ชี้แจงถึงความคืบหน้าของเคส JKN โดยยืนยันว่า ก.ล.ต. ได้ดำเนินการทางกฎหมายในหลายด้าน
โดยด้านสถานะคดี ปัจจุบัน ก.ล.ต. ได้ดำเนินการทั้งมาตรการทางแพ่ง และกล่าวโทษทางอาญาที่เกี่ยวข้องกับงบการเงินตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา
ภายหลังการกล่าวโทษ ก.ล.ต. ได้ให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนอย่างเต็มที่ และประสานงานกับ DSI จนมีการรับเป็นคดีพิเศษ ซึ่งเป็นผลมาจากการกล่าวโทษและการประสานความร่วมมือของสำนักงาน
ส่วนกรณีผู้บริหาร JKN หลบหนี ก.ล.ต. ชี้แจงว่า ในช่วงที่กล่าวโทษไม่ได้พบพฤติการณ์หลบหนีที่เข้าเงื่อนไขอำนาจตามกฎหมายในการห้ามออกนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม ก.ล.ต. ไม่ได้นิ่งนอนใจ ในกรณีที่มีการหลบหนีไปต่างประเทศในปัจจุบัน โดยได้ประสานงานกับพนักงานสอบสวนเพื่อหาหนทางในการนำตัวกลับมา หากเป็นไปได้
ในส่วนของการยึดทรัพย์นั้น เนื่องจากคดีอยู่ในขั้นตอนการกล่าวโทษทางอาญาแล้ว อำนาจในการดำเนินการจึงอยู่กับพนักงานสอบสวน ซึ่ง ก.ล.ต. พร้อมให้ความร่วมมือเพื่อให้สำนวนนำไปสู่การฟ้องร้องได้
แบงก์ชาติพร้อมเข้าตรวจสอบ ‘เส้นทางการเงิน’ ที่ผ่านระบบแบงก์พาณิชย์
ต่อคำถามผู้สื่อข่าวกรณีที่หุ้นก้อนใหญ่ของ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP มูลค่าประมาณ 6,000 ล้านบาท ว่า ธปท. ได้เข้าไปตรวจสอบร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หรือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) หรือไม่ ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า น่าจะเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงเช่น ปปง. หรือ ก.ล.ต. ที่เข้าไปดูแล
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ ธปท. จะเข้าไปตรวจสอบในมิติที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินของสถาบันการเงิน โดยหากพบว่าธุรกรรมดังกล่าวผ่านเข้ามาในระบบธนาคารพาณิชย์ ธปท. ก็จะต้องเข้าไปดูในส่วนนั้น
สำหรับการกำกับดูแลสถาบันการเงินในกรณีธุรกรรมต้องสงสัย ธปท. ยืนยันหลักการว่า สถาบันการเงินทุกแห่งต้องปฏิบัติตามกฎหมายของ ปปง. อย่างเคร่งครัด โดยหน้าที่ของ ธปท. คือการกำกับดูแลให้ธนาคารส่งรายงานข้อมูลตามเกณฑ์ เช่น หากพบการใช้เงินสดเกินวงเงินที่กำหนด หรือมีธุรกรรมต้องสงสัย ต้องส่งรายงานให้ ปปง. ทราบ
ภาพ: Prateep Suttiso/Getty Images


