×

ฟองสบู่ AI จะแตกจริงหรือไม่ ทำไมองค์กรส่วนใหญ่ยังไม่กำไร แต่เงินลงทุนพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

โดย THE STANDARD TEAM
02.12.2025
  • LOADING...

ลองจินตนาการว่าเรากำลังยืนอยู่ท่ามกลางพายุเงินลงทุนที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก ตัวเลขคาดการณ์เม็ดเงินที่หมุนเวียนในโลก AI ปี 2025 นั้นสูงถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ และกำลังจะแตะ 2 ล้านล้านดอลลาร์ในปีถัดไป

 

ความร้อนแรงนี้ทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งทะยานจนหลายคนเริ่มตั้งคำถามด้วยความกังวลว่า “ภาพนี้มันคุ้นๆ เหมือนตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง หรือวิกฤตดอทคอม (Dot-com Bubble) ปี 2000 หรือเปล่า?”

 

สิ่งที่เราเห็นอยู่คือฟองสบู่ที่รอวันแตก หรือคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโลกที่แท้จริงกันแน่?

 

🟡 เมื่อ ‘ราคาขายฝัน’ แพงกว่าความเป็นจริง

 

แม้บริษัท 3 ใน 4 ทั่วโลกจะกระโดดลงมาเล่นเกม AI แล้ว แต่กว่า 80% ยอมรับตามตรงว่า ‘ยังไม่เห็นผลกระทบต่อรายได้ที่ชัดเจน’

 

ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยจาก MIT ยังตอกย้ำความจริงอันโหดร้ายว่า มีเพียง 5% ของโครงการ AI ทั่วโลกเท่านั้นที่สร้างกำไรได้จริง อีก 95% ที่เหลือยังคงควานหาทางคุ้มทุนไม่เจอ

 

นอกจากนี้ ยังเกิดภาพลวงตาทางการเงินที่เรียกว่า ‘ใยแมงมุมธุรกิจ’ หรือการที่บริษัทเทคโนโลยีต่างลงทุนไขว้กันไปมาเพื่อดันมูลค่า ตัวอย่างเช่น การที่ Nvidia ลงทุนใน OpenAI และ OpenAI ก็นำเงินนั้นกลับมาซื้อชิปจาก Nvidia อีกทอดหนึ่ง

 

ปรากฏการณ์นี้คล้ายกับสำนวน อัดยายซื้อขนมยาย นักลงทุนจึงกังวลว่า นี่อาจเป็นการสร้างอุปสงค์เทียม (Artificial Demand) เพื่อปั่นราคาหุ้นให้สูงเกินจริง โดยที่เนื้อในธุรกิจอาจยังไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น

 

🟡 แต่ครั้งนี้เจ้ามือกระเป๋าหนักกว่าเดิม

 

แม้สัญญาณเตือนภัยจะดังระงม แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมองว่าโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งนี้ ‘แข็งแกร่ง’ และต่างจากปี 2000 อย่างสิ้นเชิง

 

ความแตกต่างสำคัญอยู่ที่ ‘หน้าตักของเจ้ามือ’ ในยุคดอทคอม ผู้เล่นคือบริษัทเกิดใหม่ที่กู้หนี้มาสร้างฝัน แต่เจ้าตลาด AI ยุคนี้คือยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft, Google หรือ Amazon ที่มีกระแสเงินสดล้นมือ พวกเขาใช้กำไรสะสมจากธุรกิจเดิมมาลงทุน ไม่ใช่เงินกู้ร้อนๆ ทำให้ทนทานต่อแรงกระแทกได้ดีกว่ามาก

 

อีกทั้งเงินล้านล้านดอลลาร์ที่ละลายไป ไม่ได้หายไปในอากาศเหมือนยุคเว็บไซต์ดอทคอม แต่มันกลายสภาพเป็นสินทรัพย์ถาวรที่จับต้องได้ ทั้ง Data Center ขนาดมหึมา, โรงงานผลิตชิปมูลค่ามหาศาล และโครงข่ายอินเทอร์เน็ต

 

Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ย้ำว่า “นี่คือความต้องการเชิงโครงสร้าง” (Structural Demand) เหมือนตอนที่โลกต้องสร้างโรงไฟฟ้าหรือเขื่อน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะยังคงมีประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อไป แม้ฟองสบู่จะแตกก็ตาม

 

🟡 J-Curve ตัวชี้วัดสำคัญ ฟองสบู่จะแตกจริงไหม

 

หลายคนบ่นว่าลงทุน AI ไปตั้งเยอะ ทำไมยังไม่เห็นกำไร? คำตอบอาจอยู่ที่ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่า J-Curve

 

นักวิเคราะห์มองว่า สาเหตุที่เรายังไม่เห็นผลลัพธ์ทันตา เพราะเรากำลังอยู่ตรงช่วงหางตัว J ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นที่กราฟมักจะตกลงหรือทรงตัวก่อน เพราะองค์กรต้องใช้เวลาเรียนรู้ ปรับเปลี่ยนระบบการทำงาน และลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

 

คาดการณ์ว่าหลังจากปี 2025 เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง เราถึงจะเห็นกราฟ Productivity พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด คล้ายกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคไฟฟ้าในอดีต ที่โรงงานต้องใช้เวลาปรับตัวนานนับปีกว่าจะเห็นผลผลิตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ดังนั้น ความล่าช้าของผลกำไรในวันนี้ จึงอาจไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นเพียงกระบวนการบ่มเพาะตามธรรมชาติ

 

🟡 มองให้ยาว ก้าวให้สั้น

 

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าฟองสบู่จะแตกหรือไม่ ความจริงข้อหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ AI จะกลายเป็นแกนหลักของเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นอน สำหรับผู้ประกอบการ ทางออกที่ดีที่สุดคือการมองยาวแต่ก้าวสั้นๆ ดังนี้

 

🔸เลิกทำ AI เพราะกลัวตกเทรนด์ แต่ให้ถามว่ามันช่วยลดต้นทุน หรือเพิ่มรายได้ให้บริษัทได้จริงไหม
🔸อย่ามองแค่กำไร แต่ให้มองความเสี่ยงกรณีฟองสบู่แตกด้วย การกระจายพอร์ตการลงทุนและการเตรียมแผนสำรองยังเป็นกฎเหล็กเสมอ
🔸ลงทุนกับการพัฒนาทีมงานให้พร้อมใช้เครื่องมือเหล่านี้ เพื่อเตรียมรับมือช่วงขาขึ้นของ J-Curve ที่กำลังจะมาถึง

 

อย่าให้ความกลัวฟองสบู่ ทำให้คุณพลาดโอกาสทองในการติดอาวุธให้ธุรกิจ แต่จงใช้ความระมัดระวัง อย่าให้ความโลภทำให้คุณลืมพื้นฐานความจริงในการทำธุรกิจ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising