แค่เห็นชื่อ ‘Curve BKK’ ภาพจำของการออกกำลังกายสุดโหดสไตล์ Barre ก็ลอยมาทันที และเมื่อได้ยินว่า Curve BKK จะจัดทริปอีกครั้ง เราก็คาดเดาไปแล้วว่าต้องเป็นการเข้าค่ายรีดเหงื่อ เบิร์นหนักกันแน่ๆ แต่ความจริงนั้น…ผิดจากที่คิดไว้ทั้งหมด
เพราะคราวนี้ Curve BKK กลับมาจับมือกับ SHISEIDO สรรสร้าง ‘SEA THE CURVE presented by SHISEIDO’ ทริปที่เปลี่ยนนิยามการดูแลตัวเองใหม่ ไม่ใช่แค่ร่างกายแข็งแรง แต่คือความสมดุลของจิตใจ ความงามที่แท้จริงจากภายใน และความยั่งยืน
View this post on Instagram
เริ่มจากการฟื้นฟูตัวเองในกรุงเทพฯ กว่า 30 วัน ก่อนจะพาเราแพ็กกระเป๋าออกเดินทางไปสัมผัสแก่นแท้ของความงามท่ามกลางธรรมชาติบริสุทธิ์ สลัดลุคสปอร์ตมาเฉิดฉายในแฟชั่นเซ็ตสุดพิเศษ และร่วมทำกิจกรรมสนับสนุนชุมชนในเมืองรองอย่าง ‘ตรัง’
หัวใจของแคมเปญนี้ คือการมุ่งเน้นเปิดเผย ‘ตัวตนที่แท้จริง’ ของความยั่งยืนและการดูแลสุขภาพที่ไม่ได้วัดกันด้วยความสมบูรณ์แบบ แต่ขับเคลื่อนด้วย ‘เจตนาที่แท้จริง’ ในการใช้ชีวิตอย่างมีจิตสำนึก เคารพวัฒนธรรม และเชื่อมโยงกับชุมชน
Why Here?
เราเองยอมรับว่าตรังไม่ใช่เมืองที่เราจะนึกถึงเมื่อโหยหาการท่องเที่ยวในประเทศ แต่เมื่อเดินทางมาถึงก็พบว่าเมืองตรัง…มีเสน่ห์กว่าที่คิด เริ่มต้นด้วยการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่วิสาหกิจชุมชนผ้าทอนาหมื่นศรี

ก่อนที่ผ้าทอนาหมื่นศรีจะกลายเป็นของฝากชื่อดังและสินค้า GI ที่นี่เคยผ่านยุคมืดมาก่อน

คุณป้าในชุมชนเล่าให้เราฟังว่า ในยุคหนึ่งที่โรงงานอุตสาหกรรมเริ่มเข้ามาตั้งฐานการผลิต คนหนุ่มสาวทิ้งหมู่บ้าน ทิ้งกี่ทอผ้าเพื่อมุ่งหน้าสู่การทำงานในโรงงานเพราะต้องการเงินเดือนที่แน่นอน เสียงกระทบไม้ของกี่ทอผ้าที่เคยดังระงมทั่วหมู่บ้านจึงค่อยๆ เงียบลงทีละหลัง จนภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี ค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา

แต่ด้วยความรักในรากเหง้า คนเฒ่าคนแก่และผู้นำชุมชนตัดสินใจฮึดสู้ รวบรวมลายผ้าโบราณที่กระจัดกระจายกลับมาแกะลายใหม่ ชักชวนลูกหลานให้กลับบ้าน และทำให้เห็นว่า ‘การทอผ้าก็เลี้ยงชีพได้’

เรามีโอกาสได้ทดลองการทอผ้าฉบับมินิแล้วพบว่า งานนี้ ‘หิน’ ใช่เล่น การทอผ้าไม่ได้อาศัยแค่ความสามารถ แต่ต้องอาศัยความอดทน สติ และสมาธิเป็นอย่างสูง ทำให้รู้ซึ้งเลยว่า กว่าจะได้ผืนผ้าทอหนึ่งผืนต้องแลกมาด้วย เวลาและความทุ่มเทเพียงใด

นอกจากการทดลองทอผ้าแล้ว ที่นี่ยังมีเวิร์กช็อปทำขนมฝามีที่หน้าตาเหมือนขนมครก แต่ชิ้นใหญ่และแบนกว่า และสร้างลูกลมมือถือเพื่อสัมผัสความประณีตของงานศิลป์พื้นบ้านอีกด้วย

ในส่วนของที่พักในทริปนี้ เราไปเช็กอินกันที่ Kachong Hills Tented Resort ก้าวแรกที่ล็อบบี้ ทุกคนต่างฮือฮาไปกับวิวป่าเขียวขจีอันสวยงามตรงหน้า และลมที่พัดเย็นสบายตลอดสาย

ที่นี่ยังใส่ใจเรื่องความยั่งยืนในทุกรายละเอียด เริ่มจากงานสถาปัตยกรรมที่เจ้าของตั้งใจใช้ไม้ยางพารา วัสดุคู่เมืองตรังมาเป็นโครงสร้างหลัก

ในขณะที่อาหารก็ยึดหลัก Zero Waste Dining ไม่ว่าจะเป็นดอกดาหลาที่ถูกนำมาสกัดเป็นน้ำดื่ม ใบเหลียงที่นำมาแปรรูปเป็นขนมทานเล่น พร้อมกันนี้ยังมุ่งเน้นการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชด้วยการนำเสนอ ‘ข้าวเบายอดม่วง’ ข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่เคยเกือบสูญหายไปจากท้องทุ่ง

การนำกลับมาเสิร์ฟที่นี่จึงเปรียบเสมือนการชุบชีวิตและต่อลมหายใจให้ข้าวโบราณของตรังยังคงอยู่คู่กับวิถีชุมชนอย่างยั่งยืน

นอกจากจะอิ่มเอมไปกับความอร่อยของอาหารตรังในสไตล์ Chef’s Table แล้ว ทางรีสอร์ตยังมีเซอร์ไพรส์โชว์ ‘มโนราห์ตัวอ่อน’ จากน้องๆ ตัวน้อยที่น่ารัก (แต่ถ้าทำตอนกลางคืนก็มีวิ่ง) ซึ่งแต่ละท่าทำเอาผู้ชมอย่างเราอดปวดหลัง ปวดคอแทนไม่ไหว

ภายในละแวกใกล้รีสอร์ต เรายังสามารถเติมเต็มจิตวิญญาณด้วย Forest Bathing ซึมซับพลังจากผืนป่าและธรรมชาติที่น้ำตกกะช่อง โดยใครที่ไหวก็สามารถวิ่งจากรีสอร์ตไปได้ แต่หากอยากเซฟแรงก็สามารถนั่งรถที่ทางรีสอร์ตจัดเตรียมไว้ได้เช่นกัน

เราเดินทางต่อสู่ท้องทะเลโดยเรือของ Trang Voyage ผู้ประกอบการท้องถิ่นที่พาเราลัดเลาะสู่ชุมชนบ้านมดตะนอยเพื่อพบกับเรื่องราวของ ‘ธนาคารปูม้า’

ที่นี่เราได้รับฟังความจริงที่น่าตกใจว่า ในอดีต ‘ความไม่รู้’ เกือบทำให้ชุมชนล่มสลาย เพราะชาวบ้านจับแม่ปูที่มีไข่นอกกระดองมาบริโภคหรือขาย โดยไม่รู้ว่านั่นคือการตัดวงจรชีวิตสัตว์น้ำ ส่งผลให้เกิดวิกฤตหนักที่ชาวประมงจับปูไม่ได้เลยตลอดทั้งปี

แต่ความเจ็บปวดนั้นเองที่จุดประกายให้ชาวบ้านลุกขึ้นสู้ด้วยการรวมตัวเป็นกลุ่ม อาสาสมัครที่ทำงานด้วยใจ ก่อตั้งธนาคารปูม้าเพื่อรับฝากแม่ปูไข่ อนุบาลจนฟักเป็นตัวแล้วปล่อยคืนสู่ทะเล ช่วยให้ท้องทะเลฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์และสร้างรายได้ให้ชุมชนได้ตลอดปีอีกครั้ง
ในทริปนี้เราทุกคนจึงมีส่วนในการสนับสนุนอุปกรณ์และสมทบทุนค่าไฟสำหรับปั๊มออกซิเจน เพื่อช่วยต่อลมหายใจให้ธนาคารปูม้า

ทว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คือการเป็นกระบอกเสียงในเรื่องนี้ และหยุดอุดหนุนปูที่มีไข่นอกกระดองเพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูตัวเอง

หรือหากใครพอมีกำลัง ก็สามารถร่วมสมทบทุนบริจาคเพื่อช่วยชาวบ้านรักษาแหล่งอาหารนี้ให้ยั่งยืนต่อไป

และแล้วก็มาถึงไฮไลต์สำคัญของทริปกับการถ่ายแฟชั่นเซ็ตในแคมเปญ ‘Sea The Curve’ เราออกเดินทางด้วยเรือคาตามารันลำใหญ่ ล่องผ่านผืนน้ำสีครามมุ่งหน้าสู่ เกาะเหลาเหลียงก่อนจะล่องเรือเล็กต่อไปยังจุดหมายที่แท้จริง

ทันทีที่สมอเรือหย่อนลง เราพบว่าเกาะแห่งนี้เงียบสงบไร้ความวุ่นวาย ผิดกับเกาะยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวอย่างสิ้นเชิง
น้ำทะเลใสกระจ่างจนมองเห็นพื้นทราย โอบล้อมด้วยภูเขาหินปูนสูงตระหง่านราวกับป้อมปราการธรรมชาติ

Hidden Gem แห่งนี้ถูกค้นพบโดยทีมงาน Curve Bkk ที่ผนึกกำลังกับหรั่ง-สุรศักดิ์ อิทธิฤทธิ์ ช่างภาพผู้คร่ำหวอดในวงการ และกานดา สายทุ้ม Beauty Stylist ตัวแม่ ที่ลงทุนมาสเกาต์พื้นที่ด้วยตัวเอง

ส่วนเบื้องหลังความสวยเป๊ะในวันถ่ายจริงต้องยกความดีความชอบให้กิจกรรม Portrait Styling Workshop ที่ได้แป้ง-อรประพันธ์ สุทธินรเศรษฐ์ Creative Director มากความสามารถจาก VICKTEERUT เข้ามาร่วมทีมกับหรั่งและกานดา ในการช่วยกันสไตลิ่งทั้งเสื้อผ้า เลือกเมคอัพที่ใช่ และค้นหาจริต การโพสที่มั่นใจที่สุดเพื่อให้ทุกช็อตออกมาสมบูรณ์แบบ

กิจกรรมนี้ช่วยทลายกำแพงความไม่มั่นใจ ทำให้เราค้นพบความงามของตัวเองในมิติใหม่ และพิสูจน์ให้เห็นว่า “ความมั่นใจจากภายใน คือเครื่องสำอางที่ดีที่สุด”
เพราะเมื่อเราเชื่อมั่น…แววตาและรอยยิ้มจะเปล่งประกายเสน่ห์เฉพาะตัวออกมา ซึ่งสะท้อนปรัชญาของ SHISEIDO ที่เชื่อในพลังของ Inner Beauty เสมอมา

ก่อนจะโบกมือลาตรัง เราได้ไป City Tour ส่งท้ายด้วยการนั่งรถตุ๊กตุ๊กหัวกบสัญลักษณ์คู่เมือง ลัดเลาะสัมผัสเสน่ห์ของตรังอย่างใกล้ชิด ซึมซับวิถีชีวิตผู้คน สถาปัตยกรรมเก่าแก่ แวะชิมร้านอาหารรสเด็ด และเยี่ยมชมพื้นที่เชิงวัฒนธรรม เป็นการปิดจบม้วนฟิล์มแห่งความทรงจำในตรังได้อย่างงดงาม

Worth It
- เกินคุ้มกับผลิตภัณฑ์จาก SHISEIDO และ Goodie Bag จากพาร์ตเนอร์ที่รวมมูลค่าแล้วยังสูงกว่าค่าทริป
- ประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้กับการถ่ายแฟชั่นเซ็ตใน Unseen Location ของเมืองตรัง โดยทีมงานระดับท็อปของประเทศ
- ได้ฮีลใจกับธรรมชาติ อิ่มใจที่ได้ช่วยชุมชน และได้เจอมิตรภาพใหม่ที่มีใจรักสุขภาพเหมือนกัน
Good For
นี่คืออีกก้าวสำคัญของ Curve BKK ที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ‘คอมมูนิตี้คนรักสุขภาพ’ เป็นได้มากกว่าแค่กลุ่มคนที่มารวมตัวกันออกกำลังกาย แต่สามารถต่อยอดสู่การสร้างไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน การให้ และการเปลี่ยนแปลงสังคมไปพร้อมกัน
ทริปนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่มี ‘หัวใจเดียวกัน’ ที่ไม่ได้มองหาแค่ที่เที่ยว แต่กำลังมองหาเพื่อนใหม่และสังคมคุณภาพที่พร้อมซัพพอร์ตกันและกัน
ส่วนใครที่พลาดทริปในครั้งนี้ไปก็ไม่ต้องเสียใจ มารอลุ้นกันว่าทริปหน้า Curve BKK จะพาเราไปเปิดประสบการณ์ที่ไหนอีก

Budget: รวมกิจกรรมที่กรุงเทพฯ: 18 ต.ค.-14 พ.ย. 68 และ ตรัง: 15-17 พ.ย. 68 (3 วัน 2 คืน), ประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟจาก SHISEIDO และพันธมิตร รวมถึงตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พัก
- Early bird: 29,000 บาท (1-11 ต.ค. 68)
- Regular: 32,000 บาท (จากปกติ 85,000 บาท)
Instagram: https://www.instagram.com/curvebkk/
Facebook: https://www.facebook.com/CurveBangkok
ภาพ: วริศรา ลิ้มอนันตระกูล, Curve Bkk, หรั่ง-สุรศักดิ์ อิทธิฤทธิ์


