Google Cloud เปิดเผยผลการวิจัยจาก Public First ที่ระบุว่าหากองค์กรท้องถิ่นสามารถนำ AI มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้ราว 7.3 แสนล้านบาท ภายในปี 2030
อย่างไรก็ตาม การจะปลดล็อกมูลค่าดังกล่าว ยังมี 3 อุปสรรคหลักที่จำกัดองค์กรหลายแห่งจากการใช้ประโยชน์จาก AI อย่างเต็มประสิทธิภาพ ได้แก่ 1.การทำให้โซลูชัน AI สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องและน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง 2.การขาดแหล่งข้อมูลที่พร้อมสำหรับการใช้งาน AI และ 3.การขาดบุคลากรที่มีทักษะด้านการจัดการข้อมูลและ AI อย่างเหมาะสม
อรรณพ ศิริติกุล กรรมการผู้จัดการ Google Cloud ประเทศไทย กล่าวว่า เพื่อปลดล็อกมูลค่าเศรษฐกิจไทย จำเป็นจะต้องดำเนินการ 3 ด้านสำคัญ ได้แก่
- การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ หนึ่งในนั้นคือ Data Center
- การพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างยั่งยืน
- การส่งเสริมโปรเจกต์นำร่อง เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ เห็นถึงผลลัพธ์จากการนำ AI มาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
“จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารทั่วโลกพบว่า มากกว่าครึ่งรายงานว่าองค์กรของตัวเองมีรายได้เพิ่มขึ้น 6-10% จากการนำโซลูชัน AI ระดับองค์กรมาให้ทีมงานและผู้ใช้บริการได้ใช้งานโดยตรง”
นอกจากนี้ จะเห็นว่าบริษัทที่นำ AI ของ Google Cloud มาใช้อย่างจริงจัง สามารถก้าวข้าม Pilot Purgatory หรือการติดอยู่ในช่วงนำร่องไปได้สำเร็จ และสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เฉลี่ยสูงถึง 727% ภายในเวลา 3 ปี พร้อมคืนทุนได้ในระยะเวลา 8 เดือน
ทั้งนี้ Google Cloud ได้ประกาศเปิดตัว PanyaThAI โครงการเพื่อยกระดับศักยภาพขององค์กรไทยในการพัฒนา ประยุกต์ และขยายการใช้งาน Agentic AI ระดับองค์กร เพื่อสร้างคุณค่าที่จับต้องได้และผลลัพธ์ที่วัดผลได้จริงให้กับภาคเศรษฐกิจของประเทศ
โครงการนี้เริ่มต้นด้วยสมาชิกผู้ก่อตั้งจำนวน 15 องค์กร ได้แก่ บิทาซซ่า, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์, ฟินโนมีนา, ไทยสมุทรประกันชีวิต, ซีเอ็ดยูเคชั่น, ช้อป โกลบอล อี-คอมเมิร์ซ, สยามพิวรรธน์, แสนสิริ, สคูลดิโอ, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ไทยวาโก้, ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป, ท็อปส์ และทรู ดิจิทัล กรุ๊ป
ด้าน ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอ็ม เอฟ อี ซี (MFEC) หนึ่งในพันธมิตรด้านการให้คำปรึกษาและการดำเนินงานของ Google Cloud เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาเช่ือว่าผู้บริหารของแต่ละองค์กรไม่ได้ติดปัญหาเรื่อง What หรือ Why แต่ติดปัญหาที่ How ซึ่งจากการทำงานร่วมกับลูกค้ากว่า 20 รายล่าสุด พบว่า
“แทบทุกองค์กรพยายามนำ AI เข้ามาสู่องค์กร แต่บางองค์กรประสบปัญหา สิ่งสำคัญคือ ต้องดัดองค์กรไปหา AI แทนที่จะดัด AI มาหาองค์กร หมายความว่าเราต้องปรับโครงสร้าง กระบวนการทำงาน หรือปรับเปลี่ยนคน เพราะ AI ไม่สามารถแทนที่คนได้ 100%”
ปัญหาถัดมาคือ แทบทุกองค์กรคิดว่า AI เป็นความรับผิดชอบของทีมไอทีหรือเทคโนโลยี แต่จริงๆ แล้วความต้องการด้าน AI ต้องมาจากแต่ละแผนกที่จะนำ AI มาปรับใช้ อีกส่วนที่สำคัญคือ แรงผลักดันด้าน AI ต้องมาจากระดับบริหารด้วย เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ภาสพรรณี มหายศ ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจดิจิทัล SE-Education กล่าวว่า ระบบ AI Search Agent ช่วยให้ผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม e-Marketplace ค้นหาและพบข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทำให้อัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้า (Conversion Rate) เพิ่มจาก 12% เป็น 27% ขณะเดียวกันอัตราการออกจากหน้าเว็บไซต์ทันที (Bounce Rate) ลดลงเหลือ 10% และอัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้าอยู่ที่เพียง 6%
ด้าน ไทยวาโก้ จับมือ Tridorian พัฒนาโซลูชัน AI ของ Google Cloud เพื่อช่วยเสริมศักยภาพธุรกิจ โดยเทคโนโลยีสำคัญที่นำมาใช้ได้แก่ โมเดล Nano Banana Pro สำหรับ “ปรับแต่งและสร้างภาพสินค้า” ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น และโมเดล Veo 3.1 สำหรับ “แปลงภาพนิ่งเป็นวิดีโอคุณภาพสูง” ที่สมจริงทั้งภาพและเสียง
สำหรับ 3 ประโยชน์หลักที่ไทยวาโก้ได้รับจากโซลูชัน AI ใหม่นี้ ได้แก่ การลดต้นทุนและลดเวลาในการผลิตคอนเทนต์ AI ช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการถ่ายทำและตัดต่อ ลดจำนวนขั้นตอนการผลิตแบบเดิม ทำให้สามารถปล่อยคอนเทนต์ได้ทันกระแสตลาด การยกระดับการนำเสนอสินค้า และขยายแคตตาล็อกได้รวดเร็ว รวมทั้งการเพิ่มปริมาณและรูปแบบชิ้นงานด้วยเทคโนโลยี Generative AI
ภาพ: Jonathan Raa/NurPhoto via Getty Images


