เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ระบุว่าการขึ้น VAT หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลจำเป็นจะต้องเพิ่มรายได้ แต่ต้องรอการบริโภคฟื้นตัว ย้ำไม่ใช่ช่วงเวลานี้อย่างแน่นอน เพราะเศรษฐกิจยังไม่ได้ดีนัก
จากการแถลงข่าวรายงานภาวะสังคมไทย ไตรมาส 3 ปี 2568 อ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) เปิดเผยเกี่ยวกับบทเรียนการเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากต่างประเทศ
ขึ้น VAT เลี่ยงไม่ได้ แต่ยังไม่ถึงเวลา
“ไทยดำเนินนโยบายขาดดุลมาต่อเนื่อง เชื่อว่าสุดท้ายแล้วเรื่องของการขึ้น VAT เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดีในอนาคต ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมการการขึ้น VAT ที่ได้ประโยชน์สูงสุดและสร้างผลกระทบให้น้อยที่สุด สภาพัฒน์ฯ จึงได้ศึกษาประสบการณ์จากประเทศต่างๆ เพื่อถอดบทเรียนออกมาว่ามีลักษณะอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการในการพิจารณากำหนดมาตรการในการดำเนินการในเรื่องนี้” อ้อนฟ้ากล่าว
สำหรับไทยมีการกำหนดตั้งแต่ปี 2540 ว่าให้จัดเก็บที่อัตรา 10% แต่มีการออก พ.ร.ก. ในการปรับลดมาเหลือ 7% มาโดยตลอด ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) คาดว่าหนี้สาธารณะในปี 2568 จะอยู่ที่ 12.2 ล้านล้านบาท คิดเป็น 64.8% ของ GDP และในปี 2573 จะเพิ่มเป็น 15.3 ล้านล้านบาท คิดเป็น 68.2% ของ GDP ส่วนนี้เป็นข้อจำกัดของทุกรัฐบาลที่เข้ามาบริหาร ต้องพิจารณาในการเพิ่มรายได้ และรายได้หลักสำคัญคือ VAT คิดเป็น 29.3% ของรายได้ทั้งหมดของภาครัฐ หรือราว 9.9 แสนล้านบาท
อ้อนฟ้ากล่าวต่อว่า การจะปรับขึ้น VAT คงต้องดูระยะเวลา แม้รัฐบาลออกมาตรการอย่าง ‘คนละครึ่งพลัส’ ช่วยกระตุ้น แต่เป็นการกระตุ้นในสิ่งที่กำลัง ‘ตกดิน’ อยู่ คงต้องรอให้เห็นแนวโน้ม (การบริโภค) ที่จะฟื้นตัวหลายเดือนหรือหลายไตรมาส
“รัฐบาลตระหนักดีว่าเศรษฐกิจเรายังไม่ได้อยู่ในภาวะพร้อมที่จะขึ้น คงต้องรอดูเวลานิดนึงว่าผลจากมาตรการต่างๆ ช่วยให้การบริโภคฟื้นได้จริงๆ แต่ว่าต้องขอเรียนตรงๆ ว่าไม่ใช่ช่วงเวลานี้อย่างแน่นอน เพราะเศรษฐกิจเรายังไม่ได้ดีนัก” อ้อนฟ้ากล่าว
ถอดบทเรียนขึ้น VAT จากต่างประเทศ
ทั้งนี้ สภาพัฒน์ฯ ทำการศึกษาบทเรียนจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุประสงค์เป้าหมาย กระบวนการ และมาตรการเยียวยาในการลดผลกระทบ
สำหรับสิงคโปร์จะเรียกภาษีมูลค่าเพิ่มว่า GST ต่างจากไทยที่ใช้คำว่า VAT โดยสิงคโปร์กำหนดว่าจะนำรายได้ที่ได้จากการปรับขึ้น GST ไปเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสวัสดิการทางสังคม ส่วนญี่ปุ่นกำหนดว่าจะใช้ดำเนินนโยบายสาธารณะที่สำคัญ เช่น การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย หรือปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน
ส่วนการปรับเพิ่มอัตราภาษีนี้ แต่ละประเทศมีวิธีการต่างกันไป อย่างญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักรใช้ระบบภาษีสองระดับ (Dual Tax) ในกรณีของญี่ปุ่นกำหนดอัตรา 10% สำหรับสินค้าและบริการทั่วไป และอัตรา 8% สำหรับสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต
ขณะที่สิงคโปร์ใช้อัตราเดียวในทุกสินค้า เพราะมองว่าผู้มีรายได้สูงสามารถซื้อสินค้าได้ปริมาณมากกว่า ทำให้ได้ประโยชน์มากกว่าหากมีการลดหย่อน
การปรับขึ้น VAT ของแต่ละประเทศ จะปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป สิงคโปร์ทยอยปรับ GST ตั้งแต่ปี 2561 โดยประกาศอัตราล่วงหน้าว่าจะปรับเพิ่ม GST จาก 7% เป็น 8% ในปี 2566 และจาก 8% เป็น 9% ในปี 2567
ส่วนญี่ปุ่นทำเป็นขั้นบันได เพิ่มจาก 5% เป็น 8% ในปี 2557 ก่อนจะเพิ่มจาก 8% เป็น 10% ในปี 2562 ซึ่งเป็นการเลื่อนจากแผนเดิมที่จะขึ้นตั้งแต่ปี 2558 ด้านสหราชอาณาจักรประกาศอัตรา VAT ล่วงหน้าตั้งแต่ปี 2553 ว่าจะใช้ VAT ในอัตรา 20% ในปี 2554
ส่วนมาตรการรองรับในการขึ้น VAT แต่ละประเทศจะมีต่างกัน เช่น บัตรกำนัลซื้อสินค้า, เพิ่มเพดานเงินอุดหนุนสำหรับผู้ซื้อบ้าน, ปรับลดภาษีรถยนต์ เป็นต้น
โดยสรุปจากประสบการณ์การขึ้น VAT ของต่างประเทศ สิ่งที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจังคือ การเตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายชัดเจนว่าจะนำรายได้จากการขึ้น VAT ไปทำอะไร เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าประโยชน์คืออะไร และจะได้มีความพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองไปพร้อมกัน
“ประเด็นที่สองคือ ช่วงเวลาในการขึ้น VAT แน่นอนควรจะต้องขึ้น VAT ในช่วงที่การบริโภคอุปโภคของประเทศเริ่มฟื้นตัวแล้ว เพราะมันจะมีผลกระทบของการขึ้น VAT ต่อการบริโภค”
ประเด็นถัดมาคือแผนการขึ้น จะต้องมีการทยอยขึ้น ไม่ว่าจะขึ้นเป็นขั้นบันไดหรืออะไรก็ตาม และที่ขาดไม่ได้คือมาตรการรองรับผลกระทบ การเยียวยากลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย และที่สำคัญคือการสื่อสารให้กับประชาชนล่วงหน้า ถ้าต่างประเทศประมาณ 1 ปี เพื่อให้ทุกคนปรับตัว ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมก็ได้ปรับตัวด้วย
ประโยชน์จากการขึ้น VAT
อ้อนฟ้ากล่าวเพิ่มเติมว่า ประโยชน์ที่เห็นจากการปรับเพิ่ม VAT ในต่างประเทศ แน่นอนว่ารายได้เพิ่มขึ้น อย่างญี่ปุ่นมีรายได้จาก VAT เพิ่มจาก 5.2 ล้านล้านเยน เป็น 16 ล้านล้านเยน สหราชอาณาจักรรายได้ เพิ่มขึ้น 1.21 หมื่นล้านปอนด์ ช่วยลดการกู้ยืมเงิน และหนี้สาธารณะไม่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ประชาชนได้รับสวัสดิการเพิ่มขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น อย่างเด็กประถมในญี่ปุ่น อายุ 3-5 ปี เรียนฟรีทั่วประเทศ และสนับสนุนค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 2 ปี สิงคโปร์นำงบประมาณส่วนหนึ่งดูแลผู้สูงอายุรายได้น้อย นอกจากนี้ยังช่วยขยายฐานภาษีและลดการหลบเลี่ยงภาษีได้มากขึ้น ทำให้ระบบภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับไทยหากมีการเพิ่ม VAT 1% รายได้ภาครัฐจะเพิ่มขึ้น 7-9 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สามารถนำไปใช้จ่ายในโครงการสำคัญได้ เช่น โครงการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ แต่ละปีงบประมาณใช้เงิน 9.1 หมื่นล้านบาท ครอบคลุม 11.5 ล้านคน หรือโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ใช้งบประมาณ 5.6 หมื่นล้านบาท ในช่วงเกือบ 2 ปีงบประมาณ ครอบคลุม 13.5 ล้านคน


