นับตั้งแต่วันที่ BNK48 จุดประกายเส้นทางของไอดอลไทยด้วยปรากฏการณ์ ‘คุกกี้เสี่ยงทาย’ โลกของไอดอลก็เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และวันนี้วงได้เดินทางมาถึง ‘รุ่นที่ 6’ กลุ่มเด็กสาวที่ก้าวเข้ามาเติมพลังความสดใหม่ให้วง ด้วยความฝัน ความกล้า และพลังของเด็กเจนใหม่
ครั้งนี้ THE STANDARD POP ได้เปิดบ้านต้อนรับทั้ง 11 สาว BNK48 รุ่น 6 เพื่อพูดคุยแบบเจาะลึกเป็นครั้งแรก ตั้งแต่เรื่องความฝัน ความกลัว มุมที่แฟนๆ ยังไม่เคยเห็น ความไม่มั่นใจที่พวกเธอพยายามก้าวข้าม ไปจนถึงภาพในหัวว่า “อยากเป็นไอดอลแบบไหน?” และ “อยากให้โลกจดจำรุ่น 6 อย่างไร?”
บทสนทนาครั้งนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ความซื่อจริงใจ ความมุ่งมั่น ของเด็กสาววัยสิบกว่า และความหนักแน่นที่เกินอายุในบางช่วงเวลา
มารู้จักตัวตนของพวกเธอให้ลึกขึ้น ผ่านคำถามและคำตอบที่ตอบอย่างพิถีพิถัน ไปพร้อมกัน

วันที่รู้ว่าตัวเองได้เป็น BNK48 รุ่น 6… ความรู้สึกแรกที่ผุดขึ้นมาในใจคืออะไร?
Luksorn: ถ้าถามถึงความรู้สึกแรกจริงๆ คือดีใจ ดีใจมากๆ เลยค่ะ เพราะนี่คือความฝันที่เดินทางมายาวนานประมาณ 7-8 ปี หนูสมัคร BNK มาหลายครั้ง ตั้งแต่อายุ 12-16 ก็ยังไม่ติด พอถึงตอนที่ประกาศชื่อ หนูอายุ 19 แล้ว
วินาทีนั้นมันเหมือนเราได้ยินว่าตัวเองกำลังจะเป็น ‘เมมเบอร์จริงๆ’ ไม่ใช่แฟนคลับ ไม่ใช่แคนดิเดต ไม่ใช่ตัวสำรอง มันทำให้รู้สึกว่า ในที่สุดเราก็ทำได้แล้วจริงๆ
Blythe: ความรู้สึกแรกตอนนั้นเครียดค่ะ เพราะรู้ว่าการเข้ามาเป็นเมมเบอร์ต้องมีกฎเยอะมาก แต่หนูเป็นคนรักอิสระ ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไปวันๆ พอจะต้องอยู่ในที่ที่มีระเบียบเยอะๆ ก็รู้เลยว่ามันหนักแน่ แต่ลึกๆ ก็ยังเชื่อว่าตัวเองทำได้ แม้จะยากหน่อย
กฎหลายอย่างเกี่ยวกับวินัย ซึ่งเมื่อก่อนหนูไม่มีเลย เหมือนโรงเรียนประจำยังไงอย่างนั้น (หัวเราะ) แต่พอเข้ามาแล้ว หนูทำได้จริงๆ และดีใจมากที่ได้ทำตามความฝันสำเร็จ
Praew: ถ้าตอนแรกเลยหนูก็รู้สึกดีใจมากๆ และตกใจมากเหมือนกันที่ชื่อเรากลายเป็นสมาชิก BNK48 รุ่น 6 เพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ
แต่พออยู่ไปสักพักก็เริ่มเครียดนิดหน่อย เพราะหนูไม่มีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน ก็แอบกลัวว่าคนจะคิดว่าหนูไม่คู่ควรไหม เหมาะสมไหม แต่ถึงจะไม่เคยทำมาก่อน หนูก็อยากพยายามให้เต็มที่ที่สุด ทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด เพื่อให้ทุกคนได้เห็นกัน
Khowjow: ตอนที่เขาประกาศชื่อ หนูรู้สึกเหมือนมันไม่จริงเลยค่ะ อึ้งมากๆ เพราะเขาจะเรียกชื่อว่า ‘ข้าวจ้าว BNK48’ เหมือนที่เรียกคนอื่น แล้วพอได้ยินชื่อหนูตามด้วยคำว่า BNK48 ก็แบบ… อึ้งสุดๆ แต่ก็ดีใจมากนะ
ด้วยความที่หนูชอบเต้น ชอบอยู่บนเวที แต่ประสบการณ์จริงๆ มีแค่ระดับโรงเรียน งานเต้น งานรำ งานประกวดของโรงเรียน พอจะต้องมาอยู่ในสเกลที่ใหญ่ขึ้นมากๆ มันเลยทั้งดีใจและรู้สึกท้าทาย เพราะจะมีคนเห็นการแสดงของหนูมากขึ้น
สิ่งที่หนักที่สุดคือ การต้องเรียนปี 1 ไปด้วย ทำงานไปด้วย ตอนแรกก็คิดว่า ‘หนักแน่’ แล้วมันก็หนักจริงๆ และหนักกว่าที่คิดด้วย แต่หนูรู้สึกดีที่ได้ลองก้าวออกจากเซฟโซน เพราะที่ผ่านมา หนูมักเลือกทำสิ่งที่มั่นใจว่าทำได้ ไม่เหนื่อยมาก แต่ครั้งนี้มันคือการผลักตัวเองแบบสุดๆ ถึงจะไม่มีอะไรมายืนยันว่าเราจะทำได้ แต่หนูก็เชื่อว่าตัวเองทำได้ค่ะ และสุดท้ายก็รู้สึกว่าชีวิตคุ้มค่ามากๆ ที่ได้ลองทุกอย่างพร้อมกัน
Mail: ตอนประกาศชื่อ หนูตกใจมาก แล้วก็โล่งใจในเวลาเดียวกัน เพราะเขาจับสลากชื่อมาอ่าน แล้วเหมือนหนูได้เป็นคนสุดท้าย เพื่อนๆ ที่สนิทกันก็เข้าก่อนแล้ว หนูก็แอบอยากไปอยู่กับเพื่อนๆ พอชื่อสุดท้ายเป็นหนูเลยทั้งดีใจและโล่งใจจนเกือบร้องไห้ แต่พอหันไปเห็นหน้าเพื่อนก็ขำ เลยกลายเป็นความดีใจแบบเบาๆ
พอเข้ามาจริงๆ ก็หนักกว่าที่คิด แต่ไม่ใช่ว่าเหนื่อยจนรับไม่ไหว ยังรู้สึกสนุกและมีความสุข ไม่เคยรู้สึกเสียใจที่สมัครเข้ามาหรือคิดว่าตัดสินใจผิดเลย เพราะก่อนหน้านี้ทำได้มากสุดคือเต้นโคฟเวอร์ เวลามาอยู่ BNK48 ก็ได้ทำทั้งร้อง เต้น MC ขายของ คือได้ลองหลายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน และมันสนุกมากค่ะ
Cartoon: หนูถูกเรียกชื่อเป็นคนที่ 10 เกือบคนสุดท้าย ตอนแรกคิดว่าไม่มีเราแล้ว ใจแป้วไปแล้ว แต่พอมีชื่อก็ทั้งดีใจและกังวลว่าถ้าเข้ามาแล้วจะอยู่ที่ไหน จะใช้ชีวิตยังไง
หนูต้องมาอยู่นอกบ้าน ไม่มีครอบครัวอยู่ด้วย แม่มาได้เดือนละครั้งสองครั้ง ก็ยิ่งกังวล แล้วเรื่องเรียนคือหนักเลย เพราะหนูเข้ากลางเทอม โรงเรียนหลายที่ก็บอกว่าไม่รับตอนนี้ ก็กลัวมากว่าจะไม่มีที่เรียน
แต่พอเวลาผ่านไปก็ค่อยๆ ปรับตัวได้ คุยกับพ่อแม่ แล้วทุกอย่างลงตัว ส่วนที่ถามว่าเข้ามาแล้วหนักไหม? แน่นอนว่า หนักมากค่ะ แต่ก็ดีในอีกมุมหนึ่ง เพราะก่อนหน้านี้หนูไม่ทำอะไรเลย อยู่บ้านก็นอนๆๆๆ พอมีงาน มีอะไรให้ทำตลอดก็รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่าขึ้น และรู้สึกชอบด้วย
Inkcha: ตอนรู้ว่าติด หนูก็เป็นหนึ่งในคนท้ายๆ ค่ะ ตอนแรกคิดแล้วว่า ‘คงไม่ใช่เราแล้วแหละ’ แต่พอชื่อประกาศขึ้นมาก็ดีใจมาก โทรบอกพ่อเลย ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก นอกจากดีใจที่ติด เพราะจริงๆ ก็อยากทำอะไรแบบนี้มานาน แต่ไม่เคยออดิชันที่ไหนมาก่อน พอมาออดิชันที่นี่ครั้งแรกก็ได้เลย ก็เลยทั้งดีใจและตกใจ
แต่หลังจากนั้นก็เริ่มเครียด เพราะหนูไม่เคยทำด้านนี้เลย เต้นไม่เป็น ร้องไม่เป็น แล้วรุ่น 6 ทุกคนก็ค่อนข้างเก่งกันอยู่แล้ว ทำให้กลัวว่าตัวเองจะตามเพื่อนไม่ทัน ก่อนหน้านี้หนูโฟกัสแค่เรียน เตรียมสอบเข้า ม.ปลาย-มหาวิทยาลัย ไม่เคยทำงานสายนี้เลย
อีกเรื่องคือบ้านอยู่ไกลมาก ไป-กลับหลายชั่วโมง ค่ารถก็วันหนึ่งก็เอาเรื่องเหมือนกัน (หัวเราะ) ทำให้เครียดหนักขึ้น แต่สุดท้ายก็หาทางจัดการได้

Grape: ตอนประกาศออดิชัน หนูช็อกมาก แค่ติดรอบแรกก็ตกใจแล้ว เพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย และไม่เคยคิดว่าจะมาเป็นไอดอล ไม่เคยวาดฝันตัวเองในภาพนั้นด้วยซ้ำ แต่พอได้เข้ามาก็ดีใจมาก เหมือนพิสูจน์ตัวเองได้ระดับหนึ่งว่าเราทำมันได้
ตอนออดิชัน หนูรู้ว่าตัวเองพื้นฐานไม่เท่าคนอื่น ขาดความมั่นใจมาก ตื่นเต้น ไม่กล้าคุยกับคนแปลกหน้า แล้วก็เคยมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ความมั่นใจหายไปเยอะมาก จนคิดว่าคงทำงานสายบุคคลสาธารณะไม่ได้ ไม่กล้าแสดงออก
แต่พอเข้ามาใน BNK48 มันบังคับให้ต้องทำ แล้วพอทำได้จริงๆ มันเหมือนปลดล็อกหลายอย่าง แม้จะลบอดีตไม่ได้ แต่ก็เยียวยาและทำให้หนูเห็นว่าตัวเองไปต่อได้
ส่วนเรื่องเป็น ‘น้องเล็กของรุ่น’ ก็รู้สึกปกติดีค่ะ แต่ไม่ได้อยากให้ตัวเองตามไม่ทัน ทำให้พี่ๆ ต้องรอ เพราะหนูก็อยากพัฒนาตัวเองให้ไปด้วยกันได้
Rose: วินาทีแรกที่ประกาศผล หนูรู้สึกหลายอย่างมาก ทั้งดีใจ ประหม่า ช็อก ตกใจ อึ้ง งง ลุ้น ง่วง ทั้งหมดเกิดพร้อมกันเลยค่ะ จริงๆ ก่อนประกาศ หนูแอบสิ้นหวังลึกๆ เพราะช่วงนั้นมีหลายเรื่องเกิดขึ้น แล้วในรอบสุดท้าย หนูรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้โชว์ความสามารถมากนัก ก็คิดว่าไม่น่าได้
แต่พอผลออก หนูก็ตกใจมาก ร้องไห้เลย BNK48 เป็นวงแรกที่ทำให้หนูอยากเป็นไอดอลจริงๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นสายร้องมาตลอด พอได้รู้ว่าตัวเองจะได้เป็น BNK48 ก็เหมือนฝันมาก แล้วตั้งแต่นั้นมาก็มีความสุขกับการทำงานในวงเสมอ
แต่ก็ยอมรับว่าเข้ามาแล้วเจอหลายเรื่องค่ะ บางโมเมนต์ก็ถามตัวเองว่า ‘เราควรอยู่ตรงนี้จริงไหม?’ โดยเฉพาะเรื่องเต้น เพราะหนูเป็นสายร้อง เวลาเรียนท่าใหม่ๆ ก็ต้องใช้เวลาจำเยอะกว่าคนอื่น บางทีก็รู้สึกไม่สนิทกับร่างกายด้วย ทำให้หลายอย่างเป็นเรื่องท้าทาย
แต่ทุกครั้งที่ได้ขึ้นเวที หนูจะรู้เลยว่า นี่แหละคือสิ่งที่หนูต้องการมาตลอด หนูออดิชันตั้งแต่อายุ 12-13 ปี ออดิชันมาทุกครั้งจนสุดท้ายได้ติด ถึงจะมีวันที่เหนื่อยหรือท้อ แต่ทุกวันนี้หนูก็ยังมีความสุขกับการได้เป็นไอดอล
Mirin: วันนั้นที่ได้ยินชื่อของตัวเองว่าเป็นรุ่น 6 มันเหมือนทุกคำถามในหัวได้รับคำตอบเลยค่ะ เหมือนความพยายามที่ทำมาตลอดไม่สูญเปล่า เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ออดิชัน BNK48 และมันไม่ได้ติดในครั้งเดียว ต้องสู้ต่อหลายรอบกว่าจะมาถึงวันนี้ ก็เลยรู้สึกภูมิใจมากๆ กับเส้นทางนี้
หนูไม่เคยเห็นภาพตัวเองเป็นไอดอลมาก่อน ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาทำอะไรในสายนี้ พอได้ยินคำว่า ‘มิริน BNK48’ ภาพในหัวมันพรั่งขึ้นมาทันที แต่ก็ยังงงๆ เหมือนกันว่าตัวเองจะเป็นไอดอลแบบไหน จะทำได้ยังไง แต่ทุกวันนี้ก็รู้สึกดีใจมากที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้
Mint: จริงๆ หนูเป็นแฟนคลับ BNK48 ตั้งแต่เด็ก ตอนเพลงคุกกี้เสี่ยงทายออกใหม่ๆ น่าจะประมาณ 7-8 ขวบค่ะ ก็ชอบวงนี้มาตั้งแต่นั้นเลย พออายุถึงก็ลองสมัครรุ่น 4-5 แต่ก็ยังไม่ติด จนมาติดรุ่น 6
วันที่รู้ว่าติดจริงๆ หนูดีใจมาก เหมือนสิ่งที่ตามหามาตลอดมันกลายเป็นจริงแล้ว เพราะหนูรักเส้นทางนี้มากๆ และอยากทำมันมาโดยตลอด พอได้เข้ามาก็รู้สึกทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้น ทั้งกดดัน แต่ความสุขมันมากกว่าเยอะเลยค่ะ
การได้อยู่ในวงที่เราเคยเป็นแฟนคลับ ได้เจอคน ได้เจอแฟนคลับ ได้ขึ้นเวที มันทำให้รู้สึกว่าชีวิตไม่น่าเบื่อ มีอะไรให้ทำตลอด และสนุกมากๆ จริงๆ
(คุกกี้เสี่ยงทาย) เป็นเพลงที่อยากเต้นที่สุดเลยค่ะ ตอนที่ได้เต้นครั้งแรก หนูภูมิใจมาก มองลงไปเห็นแฟนคลับเยอะมากๆ ก็ยิ่งรู้สึกดีใจว่า วันนี้เราได้เต้นเพลงที่รักที่สุดแล้วค่ะ

มีรุ่นพี่ในวงคนไหนที่เป็นแรงบันดาลใจให้คุณบ้าง?
Luksorn: ของหนูคือพี่เฌอปรางเลยค่ะ ตอนนั้นดู MV คุกกี้เสี่ยงทาย แล้วสะดุดตาพี่คนนี้มาก เพราะผมดำตรง แล้วก็เลยตามหาว่าเขาเป็นใคร จนรู้ว่าเป็นกัปตันของวง หลังจากนั้นก็เริ่มติดตามพี่เขาตลอด ไปงานจับมือ ไปคอนเสิร์ต ไป 2shot สะสมของพี่เฌอเต็มบ้านเลยค่ะ หนูรู้สึกว่าพี่เขาเป็นผู้นำ เก่งหลายด้าน และเป็นต้นแบบที่ดีมากสำหรับหนูค่ะ
Khowjow: ชอบพี่เฌอเหมือนกันค่ะ ตอนเด็กๆ หนูชอบเพราะพี่เขาสวย แต่พอโตขึ้นก็เห็นว่าพี่เขาเรียนวิทย์ ทำหลายอย่างได้พร้อมกัน ทั้งเรียน ทั้งทำงาน ทั้งแสดงหนัง เป็นกัปตันวง หนูเลยรู้สึกว่า ถ้าพี่เขาทำได้ หนูก็ทำได้เหมือนกัน เพราะหนูก็เรียนสายวิทย์เหมือนกัน อยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ พี่เขาทำให้หนูรู้ว่ามัน ‘เป็นไปได้จริงๆ’
Mint: ของหนูเป็นพี่ฟ้อนด์ค่ะ ตอนนั้นไปงานเปิดตัว BNK48 รุ่น 2 พอดี แล้วได้เจอพี่ๆ ทั้งหมด แต่พี่ฟ้อนด์คือคนที่รู้สึกว่าน่ารักมาก มีเสน่ห์ เวลาเต้นก็ยิ้มตลอด หนูก็เลยคามิโอชิพี่ฟ้อนด์ตั้งแต่นั้นเลย
Rose: แรงบันดาลใจแรกของหนูคือพี่โมบายค่ะ ชอบพี่เขามาตั้งแต่แรกเลย เพราะหน้าตาน่ารักมาก เป็นสเปกของหนูเลย แล้วพอเห็นว่าเขาพยายาม พัฒนาตัวเอง ร้องเพลงก็เพราะ เป็นเซ็นเตอร์คุกกี้ได้อย่างมีเสน่ห์ หนูก็ยิ่งชอบ ตอนนั้นก็ตามพี่เขามาตลอด และเห็นพัฒนาการเขาเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเขาเป็นไอดอลในใจหนูจริงๆ
แต่พอเข้าวงมา พี่โมบายออกไปแล้ว ช่วงนั้นหนูก็เลยมองพี่เฟม รุ่น 3 เป็นแรงบันดาลใจอีกมุม เพราะเห็นพี่เขาอยู่สองวง ทำงานหนักมาก เดี๋ยวบินไปต่างประเทศ เดี๋ยวกลับไทย แต่ก็ยังแบ่งเวลาได้ดี ทั้งสองวงเขาก็ทำได้ดีหมด แสดงออกบนเวทีก็ดี มี mindset ดี ใส่ใจแฟนคลับ หนูเลยรู้สึกว่าเขาเป็นไอดอลที่ดีมาก และอยากเป็นไอดอลแบบนั้นเหมือนกัน

อยากเติบโตภายใต้นามสกุล BNK48 ด้วยการเป็นไอดอลแบบไหน?
Rose: หนูอยากเป็นไอดอลที่แฟนคลับเข้าถึงได้ แล้วมีความสบายใจ อยากให้เขารู้สึกมีความสุขที่ได้ตาม ไม่ใช่ปวดหัวหรือเครียดเพราะเรา อยากให้เขามองเราแล้วรู้สึกว่ามีพลังบวกเพิ่มขึ้นในชีวิต เป็นกำลังใจ เป็นอะไรดีๆ ให้เขาได้
เพราะหนูก็เคยเป็นแฟนคลับมาก่อน หนูรู้ว่าไอดอลสำคัญขนาดไหน บางทีแค่เห็นหน้าไอดอลหรือดูการแสดงก็ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นได้ หนูก็เลยอยากเป็นไอดอลแบบนั้น เป็น role model ให้ใครหลายๆ คน ไม่ว่าจะเรื่อง mindset การใช้ชีวิต หรือแม้แต่คนที่อยากเป็นไอดอลเหมือนกัน หนูอยากให้กำลังใจเขา อยากให้เขามีพลังในการใช้ชีวิตต่อค่ะ
Grape: หนูอยากเป็นไอดอลที่ตลกและเป็นสีสันของวงค่ะ (หัวเราะ) ให้ทุกคนคุยกับหนูแล้วรู้สึกสบายใจ มีความสุข ถึงแม้หนูจะเป็นเด็ก แต่ก็อยากให้คนกล้าเล่าเรื่องให้ฟัง กล้าแบ่งปันเรื่องราวกับหนูได้
หนูเองก็อยากแชร์เรื่องของตัวเองเพื่อเติมไฟให้คนที่ Burnout หรือไม่มีแรงทำอะไร อยากให้เขารู้สึกว่ามีคนเข้าใจ อยากเป็นเซฟโซนดีๆ ให้กันและกันค่ะ
Inkcha: อยากเป็นไอดอลที่เก่งทุกด้านค่ะ ทั้งร้อง เต้น ถ้าวันหนึ่งมีโอกาสแสดงก็อยากแสดงดี รวมถึงอยากเรียนให้ดีไปพร้อมๆ กัน หนูอยากทำทุกอย่างให้ดีที่สุดในเวลาเดียวกัน
ในอนาคตก็อยากลองทำธุรกิจด้วย คืออยากให้เห็นว่าหนูพยายามทุกด้าน และอยากให้มันเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นรู้สึกว่า ถ้าตั้งใจ เราก็ทำอะไรหลายๆ อย่างให้ดีพร้อมกันได้
Mirin: หนูอยากเป็นไอดอลที่มอบรอยยิ้มให้ทุกคนค่ะ ไม่ว่าจะยิ้มเพราะตลก ยิ้มเพราะความน่ารัก หรือยิ้มเพราะได้เห็นความพยายามของหนู อยากให้คนที่เลือกซัพพอร์ตเรา รู้สึกว่าพวกเขาตัดสินใจไม่ผิด
ไม่อยากให้เขามองว่าแค่มาดูเราเต้นหรือร้องบนเวที แต่อยากให้เขาเห็นว่าเราพยายามจริงๆ และบางทีความพยายามนั้นอาจทำให้เขารู้สึกดีขึ้นในทุกวันที่ได้ติดตามค่ะ
Mint: หนูอยากเป็นไอดอลที่ช่วยคนอื่นได้ค่ะ ถ้าวันหนึ่งมีใครสักคนหมดกำลังใจ แล้วเขามาดูหนู หรือมาดูรุ่น 6 หนูอยากให้เขากลับไปรู้สึกดีขึ้น อยากให้เขายิ้มได้อีกครั้ง
เดี๋ยวนี้หลายคนเจอความกดดันและความเครียดเยอะมาก บางคนถึงขั้นซึมเศร้า หนูเลยอยากเป็นหนึ่งคนที่ช่วยให้เขาดีขึ้น ให้เขาได้รับกำลังใจที่ดีจากเรา
Khowjow: ตอนแรกที่ติด BNK48 หนูอยากเป็นไอดอลแบบพี่เฌอมากเลยค่ะ อยากมีเส้นทางชีวิตที่เหมือนพี่เขา แต่พอเข้ามาจริงๆ ได้ลองทำงาน ได้เรียนไปด้วย ก็รู้สึกว่าเส้นทางชีวิตคนเราไม่เหมือนกัน หนูไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนพี่เฌอ แต่แค่มีเขาเป็นแรงบันดาลใจเพื่อเดินไปข้างหน้า
ตอนนี้หนูอยากเป็นไอดอลที่ perform ดีมากๆ อยู่บนเวทีแล้วสะกดทุกคน ทั้งร้องและเต้นให้ดี ให้คนดูสนุกไปกับเรา
แต่อีกด้านหนึ่ง หนูอยากเป็นคนที่แฟนคลับมองแล้วเห็นการเติบโต เห็นว่าหนูพยายามเก่งขึ้น พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ อยากให้เขารู้สึกว่า ‘อยากโตไปพร้อมกับหนู’ ไม่ว่าเขาจะเป็นไอดอลหรือทำงานสายไหนในชีวิตก็ตาม
หนูอยากให้เขาเห็นว่าหนูยอมรับตัวเองในทุกความรู้สึก ความสุข ความเสียใจ ความผิดหวัง แม้ตอนแรกหนูจะรับมันไม่ได้เลย แต่พอเข้าวงมาหนูเข้าใจว่า ถ้าไม่มีวันที่เศร้า วันที่มีความสุขมันก็คงไม่มีความหมายเท่านี้ และที่สำคัญอยากให้ทุกคนคิดแบบนั้นเหมือนกัน อยากให้เราโตไปด้วยกันค่ะ

Praew: หนูอยากเป็นไอดอลที่แฟนคลับมองแล้วรู้สึกตื้นตัน ภูมิใจ และมีความสุขไปกับหนู ไม่ว่าจะตอนที่หนู perform หรือเป็นตัวของตัวเองในชีวิตประจำวัน
อยากเป็นกำลังใจให้คนที่เริ่มจากศูนย์ เพราะหนูก็เริ่มจากจุดนั้นมาเหมือนกัน บางคนก็อาจไม่เคยทำอะไรด้านนี้เลย แล้วกดดันว่าตัวเองทำไม่ได้ อยากให้เขารู้ว่าถ้าเรารักในสิ่งนี้จริงๆ และลองทำอย่างเต็มที่ ก็สามารถเป็นไอดอลได้เหมือนกันค่ะ
Luksorn: หนูอยากเป็นไอดอลที่เป็นต้นแบบให้ใครสักคนค่ะ อย่างที่หนูเองก็มีไอดอลเป็นแรงบันดาลใจ พอได้มาอยู่ตรงนี้ หนูก็อยากเป็นคนนั้นให้คนอื่นบ้าง ให้เขารู้สึกว่าเห็นหนูแล้วอยากทำให้ได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะในด้านศิลปิน การเรียน หรือความพยายามในชีวิต
สำหรับหนู การที่มีใครสักคนบอกว่าอยากทำให้ได้เหมือนเรา มันเป็นความรู้สึกที่ ‘complete’ มากๆ เหมือนการเป็นไอดอลของหนูประสบความสำเร็จแล้ว และมันยิ่งใหญ่มาก เพราะหนูก็เคยรู้สึกแบบนั้นกับไอดอลของตัวเอง หนูก็เลยอยากเป็นต้นแบบที่ดีให้คนอื่นเหมือนกัน
Blythe: หนูอยากเป็นไอดอลที่ได้เป็นตัวเองแบบเต็มๆ ถ้าเขาชอบเรา เขาก็สามารถมองเราเป็นต้นแบบได้อยู่แล้ว หนูก็เลยอยากให้เขารักหนูในแบบที่หนูเป็น ไม่ใช่หนูที่เป็นแบบอื่น
หนูทำหลายอย่างมาก เป็นนักกีฬา เป็นนู่นเป็นนี่ ผ่านมาหลายกิจกรรม และต้นแบบของหนูคือ ‘ตัวหนูเอง’ หนูไม่ได้มีไอดอลที่ยึดเป็นแบบอย่างเป็นพิเศษ แต่ชอบตัวเองในแบบที่เป็นมาตั้งแต่เด็ก รักการเต้น ชอบความเป็นเรา ก็เลยอยากให้แฟนคลับรักในสิ่งที่หนูเป็นเหมือนกัน
Mail: หนูอยากเป็นไอดอลที่มีความสุข และสามารถส่งความสุขนั้นไปให้คนอื่นได้ค่ะ อยากเป็นทางบวกให้ทุกคน แล้วก็อยากให้แฟนคลับชอบในแบบที่หนูเป็น ไม่อยากเฟคหรือเปลี่ยนตัวเองเพราะอะไรที่ไม่ใช่ตัวเรา
อีกอย่างคือ หนูอยากเป็นไอดอลที่ไม่ทำให้แฟนคลับผิดหวัง หนูพยายามเต็มที่ในทุกสเตจ ทั้งร้อง ทั้งเต้น และอยากพัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่อยากให้อนาคต perform แย่ลง อยากให้ทุกคนภูมิใจในตัวหนู ที่มีความตั้งใจทำงานทุกขั้นตอนเลย
Cartoon: อยากเป็นไอดอลที่คนดูแล้วรู้สึกว่า ‘วันนี้เก่งขึ้นอีกแล้วนะ’ เป็นคนที่เห็นพัฒนาการได้เรื่อยๆ แล้วคนอยากติดตามต่อไป หนูชอบดูคลิปเต้นตัวเองมากค่ะ ดูว่าคนชมอะไรบ้างก็ดีใจ แต่ที่ชอบที่สุดคือคำติในทางที่ดี เพราะหนูจะเอาไปปรับทันที เช่น ถ้ามีคนบอกว่านิ่งไป วันต่อมาก็จะพยายามแก้ให้ดีขึ้น
อีกอย่างคืออยากพูดเก่งขึ้น เพราะหลายคนบอกว่าหนูพูดน้อย จริงๆ เพราะหนูเป็นคนคิดคำตอบช้า ถ้าฟังคำถามแล้วอาจต้องใช้เวลาคิดประมาณ 3 นาทีถึงจะตอบได้แบบชัดเจน
และสุดท้าย หนูอยากเป็นตัวของตัวเองค่ะ ไม่อยากให้คนชอบเพราะเหมือนใคร แต่อยากให้เขาชอบ ‘หนูในแบบของหนู’ จริงๆ

ถ้ามีคนถามว่า “BNK48 รุ่น 6 ต่างจากรุ่นอื่นยังไง?” พวกเธอจะบอกว่า…
Luksorn: หนูรู้สึกว่ารุ่น 6 เป็นอะไรที่ใหม่มาก ทุกคนมีคาแรกเตอร์ของตัวเองแบบชัดเจน ถ้ามองไปแต่ละคนคือรู้เลยว่าใครเป็นใคร ไม่มีใครซ้ำกันเลยค่ะ และอีกอย่างคือทุกคน perform เก่งมาก อยากให้ทุกคนมองว่ารุ่น 6 เป็นรุ่นที่ขึ้นเวทีแล้วโดดเด่นกันทุกคนจริงๆ
หนูอยากให้คนมองว่ารุ่น 6 เป็นรุ่นที่เข้ามาเพื่อเป็นเสาหลักของ BNK48 ในระยะยาวค่ะ เป็นรุ่นที่ช่วยให้วงเดินหน้าต่อไปได้ และช่วยขับเคลื่อน BNK ให้ไปต่อได้อีกไกล
อยากให้คนรู้สึกว่า เราเป็นรุ่นใหม่ที่ทำให้หลายๆ คนกลับมาติดตามวงอีกครั้ง และบางคนอาจอยากสมัคร BNK48 เพราะเห็นพวกเราด้วยค่ะ
Blythe: หนูรู้สึกว่ารุ่นเราเป็นรุ่นที่แปลกใหม่ค่ะ เหมือนมาเพื่อเปิดเส้นทางใหม่ให้วง BNK48 ในยุคใหม่ โลกไปไกลแล้ว รุ่นเราก็เหมือนเป็นความแปลกใหม่ที่เข้ามาเติมเต้มให้วง ทั้งแนวคิด คาแรกเตอร์ วิธีทำงาน หนูว่าความแตกต่างของรุ่นเรา จะเป็นสิ่งที่ช่วยผลัก BNK48 ให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างน่าสนใจ
Mail: สำหรับหนู รุ่นหกเป็นรุ่นที่แข็งแกร่งมากค่ะ ทุกคนมีจุดแข็งของตัวเองหมด คนนี้ร้องดี คนนี้เต้นดี คนนี้ MC เด่น คาแรกเตอร์ชัดกันทุกคน และข้อดีข้อเสียที่ต้องพัฒนา หนูก็เห็นว่าทุกคนพัฒนาเร็วมากจริงๆ ตั้งแต่เข้ามาจนวันนี้
เวลาอยู่บนเวที ทุกคนมีออร่าไอดอลมากๆ โดยเฉพาะตอนทำเพลงเดบิวต์ หนูดูแล้วรู้สึกว่า ‘นี่แหละ รุ่น 6’ ลงตัวมาก กลมกล่อมมาก เป็นหนึ่งเดียวกัน
Inkcha: เราคือรุ่นที่ ‘เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน’ และรวมเสน่ห์ของแต่ละคนจนกลายเป็นความสมบูรณ์ คือหนูรู้สึกว่ารุ่น 6 เป็นรุ่นที่มีความเป็นกลุ่มก้อนมากค่ะ รักกันมาก ไม่มีแบ่งแยก ไม่มีแข่งขันกันในทางไม่ดี ทุกคนพยายามมากๆ ตั้งใจพัฒนาตัวเองตลอด
และอย่างที่เมลบอกเลย ทุกคนมีคาแรกเตอร์ของตัวเอง มีจุดเด่นที่ชัดมาก ไม่ใช่ว่าใครเพอร์เฟกต์นะคะ แต่เสน่ห์ของแต่ละคนพอเอามารวมกัน มันกลายเป็นภาพที่เพอร์เฟกต์ได้จริงๆ

ตัวแทนรุ่น 6 ตอบคำถาม “มีจุดไหนที่ยังอยากพัฒนาไปด้วยกัน และอยากเติบโตขึ้นยังไง?
Blythe: หนูอยากให้ทุกคนในรุ่นกล้าพูด กล้าเล่นมากขึ้นค่ะ ตอนนี้หลายคนยังไม่กล้าพูด ไม่กล้าส่ง ไม่กล้าเล่นด้วยกัน เลยทำให้บรรยากาศมันไม่นัวเท่าที่ควร
บางทีพอมีคนเริ่มเล่น แต่ไม่มีใครเล่นต่อ…มันก็กร่อย หนูก็เลยอยากให้ทุกคนฟังกันเยอะๆ และเล่นกันให้เยอะกว่านี้ เวลาอยู่บนเวทีมันจะได้สนุก ลื่น และเป็นธรรมชาติมากขึ้น
Luksorn: เรื่อง perform หนูไม่ค่อยกังวลค่ะ เพราะเราซ้อมกัน 11 คนมานาน พอมีเวลาให้ซ้อม เราทำออกมาได้ดีแน่นอน สิ่งที่คิดว่ายังต้องปรับคือเรื่อง MC
เวลาอยู่กันเองคือพูดเก่งมาก แต่พอขึ้นเวทีแล้วต้องพูดในรูปแบบทางการ มีสคริปต์ มีจังหวะรับส่ง มันยังเกร็งอยู่ และบางทีจำสคริปต์ไม่ค่อยได้ ก็จะกลายเป็นพูดเป็นแพตเทิร์นเดิมๆ ส่งไม้ต่อแบบแข็งๆ ยังไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ หนูอยากให้มันโฟลกว่านี้ ลื่นไหลกว่านี้ค่ะ
ช่วงเวลาที่เหนื่อย-ท้อ… อะไรคือสิ่งที่เยียวยาใจชาวรุ่น 6 ได้ดีที่สุด?
สมาชิกหลายคนตอบเหมือนกันว่า: “ของกินช่วยได้เยอะมากค่ะ” ทั้ง ชานม ขนมดึกๆ ไก่ทอด บิงซู ของหวานทุกชนิด เรียกว่าอะไรที่กินแล้วสบายใจก็สั่งหมด และอีกอย่างที่ช่วยเยียวยาได้ดีคือ การนอน เหนื่อยมากเมื่อไหร่ก็ขึ้นไปนอนทันที ปล่อยให้ร่างกายและหัวใจพัก
Luksorn: ของหนูคือ deep talk หลังซ้อมค่ะ ช่วงนั้นมันดึกแล้ว พวกเราจะนั่งคุยกันว่าทุกวันนี้เป็นยังไง เจออะไรมาบ้าง รู้สึกยังไง ตอนนี้เหนื่อยไหม อนาคตอยากเป็นยังไง เหมือนเป็นการปรับทุกข์ด้วยกัน
แรกๆ ปรับทุกข์กันทุกคืนเลยค่ะ หลังๆ อาจน้อยลง แต่ช่วงเวลานั้นมันช่วยเยียวยาได้จริงๆ
Cartoon: ของหนูคือการนอนค่ะ แล้วก็อ่านนิยายโรแมนซ์ ดราม่า หวานๆ ซึ้งๆ ชอบมาก ยิ่งดราม่าจนน้ำตาแตกนี่ยิ่งดีเลย มันเหมือนเราได้ร้องไห้ออกมา ระบายอารมณ์ในตัว แล้วค่อยนอนหลับไป มันช่วยได้เยอะมาก

ความกลัวที่ยังไม่ก้าวข้าม หรือยังติดในใจของแต่ละคนคืออะไร?
Mint: ความกลัวของหนูไม่ใช่เรื่องงานไอดอลค่ะ แต่เป็นเรื่องเรียน เพราะพอเข้ามาเป็น BNK48 เวลาที่ไปเรียนมันลดลงมาก ต้องซ้อม ต้องทำงาน และบางครั้งต้องลาเรียน หนูก็เลยกลัวว่าตัวเองจะจัดการทั้งสองอย่างพร้อมกันไม่ได้
หนูอยากให้การเรียนกับการทำงานไปด้วยกันให้ดีที่สุด โดยที่ไม่มีอะไรตกหล่นเลยค่ะ ตอนนี้เริ่มบาลานซ์ได้ดีขึ้น แต่ก็ยังกลัวอยู่บ้างว่าบางวันอาจจัดการได้ไม่ดีพอ หนูก็แค่พยายามเต็มที่ทุกวัน
Inkcha: ของหนูคือกลัวตอน perform ค่ะ หนูไม่เคยขึ้นเวทีมาก่อนเลย และหนูกลัวเวทีมาตั้งแต่เด็กด้วย พอต้องมาทำงานตรงนี้ เวทีแรกก็มีคนดูเยอะมาก ทำให้กลัวหนักกว่าเดิม
ตอนเป็น candidate แค่คุยต่อหน้าเพื่อนๆ หนูก็กลัวแล้ว พอขึ้นเวทีจริงยิ่งกลัว เพราะหนูไม่เคยเต้นเลย กลัวว่าท่าที่ทำอยู่มันดูแปลกไหม จะออกมากล้องแล้วเป็นยังไง จะดูไม่ดีหรือเปล่า
จนตอนนี้ก็ยังกลัวอยู่ค่ะ แต่อย่างน้อยหนูก็ขึ้นเวทีได้มากขึ้นเรื่อยๆ และพยายามสู้กับความกลัวนั้นทุกครั้ง
Grape: หนูกลัวเรื่อง ‘การใช้คำพูด’ มากที่สุดค่ะ เพราะหนูยังเด็ก อาจคิดเร็วไปบ้าง หรือยังไม่รอบคอบเท่าที่ควร แล้วบางทีในไลฟ์หรือบนเวที ถ้าพูดอะไรผิด หรือสื่อสารไม่ดี มันอาจทำให้เกิดปัญหาได้
กลัวว่าจะเผลอพูดอะไรที่คนคิดเห็นต่าง หรือฟังแล้วเหมือนแบ่งพรรคแบ่งพวก ซึ่งอาจไม่เหมาะสม หรือผิดกาลเทศะ และอาจทำให้เกิดดราม่าได้ หนูเลยระวังเรื่องนี้มากๆ และพยายามคิดก่อนพูดเสมอค่ะ มันเป็นความกลัวที่มีอยู่จริง จนทุกวันนี้ก็ยังระวังมากๆ
Rose: หนูกลัวว่า หนูจะไม่เก่งขึ้นเลย กลัวว่าความสามารถจะหยุดอยู่กับที่ แล้วแฟนคลับที่ตามเราจะผิดหวัง เพราะทุกวันนี้เวลาหนูขึ้นโชว์ หลายคนจะบอกว่า หนูดีขึ้นเรื่อยๆ หนูดีใจมากนะคะ แต่ก็กลัวว่า ถ้าวันหนึ่งมันไม่ดีขึ้นต่อแล้ว หนูยังไม่เก่งพอ แล้วแฟนคลับจะคิดว่าเลือกเชียร์ผิดคนหรือเปล่า
มันเลยเป็นแรงผลักดันให้หนูอยากพัฒนา อยากเก่งขึ้นจริงๆ เพราะหนูอยากให้เขาภูมิใจที่เลือกซัพพอร์ตเรา
Mirin: หนูกลัวตัวเองหมดไฟค่ะ เพราะหนูเป็นคนคิดมาก แบบถ้าเงียบเมื่อไหร่แปลว่ากำลังคิดอะไรอยู่แน่นอน แล้วด้วยงานของไอดอลต้องคุย ต้องเจอคนเยอะ ต้องสดใส พูดเยอะๆ ซึ่งแฟนคลับอาจเห็นหนูในอีกเวอร์ชันที่แตกต่างจากตัวจริงที่ขี้คิดมากแบบสุดๆ
บางครั้งหนูตั้งคำถามกับตัวเองตลอดว่า ‘เราทำถูกไหม?’ ‘เราดีพอหรือเปล่า?’ แล้วพอหมดไฟมันยิ่งยาก แต่พออยู่ไปเรื่อยๆ หนูก็ได้เรียนรู้ว่า ต้องสร้างแพชชั่นใหม่ๆ แรงผลักดันใหม่ๆ ให้ตัวเองตลอด เพื่อให้เดินหน้าต่อได้ค่ะ”
Khowjow: หนูกลัวว่าตัวเองจะยอมแพ้ เพราะตอนเด็กๆ หนูทำหลายอย่างแต่ไม่เคยไปให้ถึงที่สุด ทั้งว่ายน้ำ เต้น ยิมนาสติก เรียนพิเศษคณิต มี 10 เลเวล หนูทำถึง 8 ก็เลิกเพราะเหนื่อย หรือสมัยอนุบาล หนูอยู่ชมรมเต้น แต่เลิกเพราะเวลาซ้อมชนกับเวลาที่ต้องดูการ์ตูน (หัวเราะ)
หนูไม่ชอบตัวเองตรงนั้นเลย รู้สึกว่าทำไมไม่ลองให้มันสุดจริงๆ รอบนี้เลยกลัวมากว่ามันจะเกิดซ้ำ แต่หนูมั่นใจกับตัวเองมากขึ้นว่า ครั้งนี้อยากทำให้สุดทุกอย่าง ถ้าร่างกายยังไหว ถ้ายังไปต่อได้ หนูจะไม่ยอมแพ้แล้วอยากรู้ว่า ถ้าทำเต็มที่จริงๆ หนูจะภูมิใจแค่ไหน
Blythe: หนูไม่มีเลยค่ะ ไม่รู้ว่าชีวิตต้องกลัวอะไร เจออะไรก็พร้อมสู้เสมอ
Mail: ก่อนหน้านี้หนูกลัวความผิดหวังค่ะ เพราะหนูเป็นคนที่ทำอะไรได้แค่ ‘ดี’ แต่ไม่เคยถึงคำว่า ‘ดีที่สุด’ เลยรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในระดับกลางๆ ตลอด
แต่พักหลังมานี้ หนูไม่ค่อยเครียดแล้ว รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ปล่อยวางได้มากขึ้น ถ้าตั้งใจเต็มที่แล้ว ก็ไม่ต้องกลัวผิดหวัง เพราะเราได้ทำดีที่สุดของเราไปแล้วค่ะ”
Cartoon: หนูกลัวคำพูดตัวเองค่ะ กลัวว่าพูดอะไรไม่คิด แล้วไปกระทบใครโดยไม่ตั้งใจ ถึงจะพูดไม่ค่อยเก่ง แต่ก็กลัวว่าพูดออกมาแล้วฟังดูแปลก หรือคนไม่เข้าใจ บางทีต้องใช้เวลาคิดมากๆ ก่อนตอบ
Luksorn: กลัวว่าคนจะมองว่าหนูหยุดอยู่ที่เดิมค่ะ เพราะก่อนเข้าวง หนูมีประสบการณ์เยอะมาก แล้วพอคนเห็นว่าหนูเต้นได้อยู่แล้ว เก่งอยู่แล้ว ก็อาจคิดว่า หนูจะไม่พัฒนาอีก กลัวว่าเขาจะเบื่อและเลิกตามเราไปเลย หนูอยากให้ทุกคนเห็นว่า ถึงจะมีพื้นฐาน แต่หนูก็ยังโตได้อีก พัฒนาได้อีก และตั้งใจมากๆ ที่จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ
Praew: หนูกลัวว่าคนจะคิดว่าหนูไม่เก่ง เพราะหนูไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อนเลยค่ะ มาจากศูนย์จริงๆ กลัวว่าจะไม่คู่ควรกับตำแหน่งไหน และโดนมองว่าไม่ดีพอ
แต่ถึงจะไม่มีประสบการณ์ หนูก็อยากทำงานที่รักให้เต็มที่ และอยากพิสูจน์ให้เห็นผ่านผลงาน อยากให้คนเห็นพัฒนาการที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ

มีอะไรในตัวพวกเธอที่แฟนๆ ยังไม่ค่อยได้รู้…หรือเข้าใจผิด?
Mail: หลายคนเห็นหนูเป็นเด็ก ชอบเล่น ชอบตลก เลยคิดว่าหนูไม่มีมุมจริงจังค่ะ แต่จริงๆ หนูทำงานจริงจังมากนะคะ แค่คนอื่นยังไม่ค่อยได้เห็นเฉยๆ หนูไม่ได้เล่นตลอดเวลา และพอทำงาน หนูก็ตั้งใจมากๆ อยากให้รู้ว่าหนูก็มีโหมดแบบนั้นเหมือนกัน
Praew: หลายคนชอบบอกว่าหนูหน้าเหมือนคนในวงบ้าง นอกวงบ้างค่ะ ในวงก็มีคนบอกว่าเหมือนแจนรี่ นอกวงบางทีก็บอกเหมือน ‘น้องอินเตอร์’ หรือ ‘ชิกิต้า’ คือคนทักหนูแบบนี้ตั้งแต่ตอนเป็น Candidate ใหม่ๆ เดินเข้าหอวันแรกก็โดนทัก จนถึงตอนนี้ก็ยังโดนทักอยู่
จริงๆ ไม่ได้ซีเรียสนะคะ แต่แอบอยากให้คนมอง ‘แพรว’ ที่เป็นตัวหนูมากกว่า อยากให้คนจดจำเราในแบบของเรา ไม่ใช่ในแบบที่เหมือนใคร
อีกอย่างคือ หนูเคยไปเห็นคอมเมนต์ที่บอกว่าหนู ‘ประวัติไม่ดี’ ทั้งที่จริงๆ หนูไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลย อาจเพราะภาพลักษณ์ก่อนเข้าวงมันอาจดูไม่เข้ากับ BNK48 เลยเกิดการพูดต่อๆ กันจนทำให้เข้าใจผิด หนูเสียใจเหมือนกันนะ เพราะหนูไม่มีประวัติไม่ดีเลย ถ้าไม่เชื่อก็ลองหาได้เลยค่ะ หนูไม่ได้ทำอะไรผิดจริงๆ
แล้วก็อีกเรื่องคือ หลายคนคิดว่าหนูเป็นคน introvert มากๆ เพราะนิ่งๆ ไม่คุยกับใคร แต่จริงๆ หนูไม่ได้เงียบนะคะ แค่เป็นคนเริ่มพูดไม่เก่ง แต่ถ้ามาคุยกับหนู หนูคุยต่อได้ยาวเลย เป็นคนคุยเก่งด้วยซ้ำ หนูอยากให้แฟนๆ กล้ามาคุยกับหนู ไม่ต้องกลัวว่าหนูนิ่งหรือเย็นชาอะไรเลย หนูอยากคุยกับทุกคนเหมือนกัน
Blythe: ของหนูคือ เวลาเราพูดอะไร คนชอบไปเติมแต่งจนผิดจากที่พูดมากอ่ะ อย่างตอนหนึ่งหนูบอกว่าชอบดู Harry Potter มากๆ ดูซ้ำเป็นล้านรอบ แต่พอเขาเอาไปเขียน กลายเป็น ‘ไม่ชอบดู Harry Potter’ งงมาก หนูอยากให้ฟังจริงๆ ว่าหนูพูดอะไร แล้วเขียนให้ตรงกับสิ่งที่พูดได้ไหม
แล้วอีกเรื่องที่เจอบ่อยมากคือ ทุกคนชอบบอกว่าหนู ‘วีน’ ทั้งที่หนูพูดปกติเลย พูดเฉยๆ เขาก็บอกว่านี่วีนแล้ว ถ้าไลฟ์อยู่ก็มีคนบอกว่าวีนอีก แต่จริงๆ หนูไม่ได้วีนเลยค่ะ หนูพูดธรรมดามาก ช่วยดูโทนเสียงหนูด้วย! (หัวเราะ)
หนูเป็นคนชอบตามอ่านแท็กตัวเอง แล้วเคยเห็นหนึ่งโพสต์ที่เขาบอกว่าหนู ‘วีนไวเกิน’ แถมต่อว่าหนูเยอะมาก ทั้งที่เขาไม่ได้รู้จักหนูจริงๆ และหนูก็ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายใครเลย การที่เขาพูดแบบนี้ทำให้คนอื่นที่ไม่รู้จักหนูเข้าใจผิดไปอีก
หนูอยากให้ทุกคนรู้จักตัวจริงของหนูก่อนค่ะ ถ้ารู้จักกันจริงๆ จะรู้ว่า หนูไม่ได้เป็นคนวีนหรือแรงอย่างที่หลายคนเข้าใจเลย
Cartoon: ของหนูจะคล้ายพี่แพรวเลยค่ะ หลายคนชอบบอกว่าหนูเหมือนพี่ มามิ้งค์ จาก CGM48 รุ่น 1 ไม่ใช่แค่หน้าคล้ายนะคะ แต่บอกว่าทั้งนิสัย ทั้งน้ำเสียง ทั้งการพูดเหมือนหมด จนบางทีไม่มีใครเรียกชื่อหนูเลย เรียกแต่ ‘มามิ้งน้อย’
ก็อยากขอบคุณที่ชมว่าเหมือนกัน แต่มันรู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน บางคนถึงขั้นให้หนูพูดบางประโยค เพราะพี่มามิ้งค์เคยพูดไว้ หนูก็อยากให้ทุกคนสนใจที่ ‘ตัวหนูจริงๆ’ มากกว่า หนูไม่อยากเป็นเหมือนใคร ถึงจะบังเอิญเหมือนก็ไม่เป็นไร แต่สุดท้ายก็อยากให้คนจำว่าหนูคือ Cartoon BNK48 ค่ะ
Grape: หลายคนชอบบอกว่าหนูแสบ ซน ดื้อ พูดเยอะค่ะ แต่จริงๆ มันแล้วแต่ฟีลนะ บางทีอยากเข้าหาคน เลยดูเฟรนด์ลี่ ชอบคุย ไม่ได้แกล้งใครไปเรื่อยๆ อีกอย่างคือ หนูไม่ใช่สายตลกเสมอไป หนูก็มีมุมจริงจัง ด้านเรียน ด้านทำงาน ความนิ่งในบางมุม แต่หลายคนไม่ค่อยได้เห็นเท่านั้นเอง
Inkcha: หลายคนคิดว่าหนูเรียนเก่งมาก พอถามว่าหนูอยากเข้าคณะอะไร เขาก็มักทำเหมือนหนูสอบติดแล้ว ทำให้หนูเครียดเลย เพราะกลัวสอบไม่ติดจริงๆ
อีกอย่างคือ หนูเคยเล่นแบดมินตัน แล้วคนชอบพิมพ์ว่าหนูเป็นเยาวชนโลกหรือทีมชาติ หนูไม่เคยพูดเองนะคะ แล้วมันก็ไม่จริงค่ะ เลยอยากแก้ข่าวไว้นิดหนึ่ง (หัวเราะ)
Mint: ของหนูคือ หนูเป็นแฟนคลับ BNK48 มาตั้งแต่เด็กใช่ไหมคะ หลายคนเลยชอบมาทดสอบความเป็นแฟนคลับ ถามโน่นนี่ วัดว่า ‘รู้อันนี้ไหม รู้เรื่องนั้นไหม’
หนูก็รู้หลายอย่างนะคะ โดยเฉพาะฝั่ง BNK48 บ้านเรา แต่ฝั่งญี่ปุ่นบางเรื่องหนูก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วคนก็จะพูดประมาณว่า ‘เป็นแฟนคลับได้ไง แต่ไม่รู้อันนี้’ ซึ่งหนูไม่ได้ซีเรียสค่ะ แค่บางทีรู้สึกว่า…แฟนคลับก็มีหลายแบบเนอะ รู้มากรู้น้อยก็รักวงเหมือนกัน (หัวเราะ)

Khowjow: ของหนูไม่เชิงว่าโดนเข้าใจผิดนะคะ ส่วนใหญ่สิ่งที่ทุกคนเห็นจากหนูก็คือสิ่งที่หนูเป็นนั่นแหละค่ะ (หัวเราะ)
แต่ลึกๆ หนูรู้สึกว่าหนูยังมีอีกหลายมุมที่ยังไม่ได้แสดงออก หลายความคิด หลายนิสัยที่แฟนๆ ยังไม่เคยเห็น รวมถึงมุมที่ตัวหนูเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นตัวหนูหรือเปล่า
หนูยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าหนูเป็นคนยังไงค่ะ แค่รู้ว่าหนูก็คือหนู และบางวันอาจเป็นแบบนี้ บางวันอาจเป็นอีกแบบก็ได้ เลยอยากให้ทุกคนค่อยๆ เรียนรู้ไปพร้อมกัน มุมที่ไม่เคยเห็น มุมที่ลับๆ มากๆ หรือมุมที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในตัวหนู…เดี๋ยวเวลาและเส้นทางในวงจะทำให้ทุกคนได้รู้จักเอง
Rose: ของหนูจะเป็นประเด็นคล้ายๆ กันค่ะ คือไม่ถึงกับ ‘เข้าใจผิด’ แต่หลายคนมักคิดว่าหนูแรง เพราะ First Impression ของหนูคือหน้าเหวี่ยงมาก หนูเป็นคนตาเหวี่ยง มุมปากก็ตก ยิ้มยาก ยิ้มแล้วมันไม่ค่อยขึ้น เห็นแบบนั้นเขาก็คิดว่าหนูมองแรงใส่ หรือเป็นคน attitude แรงๆ ทั้งที่จริงๆ หนูไม่มีอะไรเลย วันๆ หนูคิดแค่ว่า วันนี้จะกินอะไรดี จะทำอะไรดี จะได้นอนกี่โมง
อีกอย่างหนูเป็นคนพูดน้อยก็จริง แต่สาเหตุไม่ใช่เพราะไม่อยากคุยค่ะ แต่เพราะหนูขี้อายมากๆ มาตั้งแต่เด็ก และบางทีก็เขินคนด้วย หรือไม่ก็พูดไม่ทันเฉยๆ แต่บางคนเห็นว่าหนูเงียบก็คิดว่าหนูไม่ชอบเขา ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เลยค่ะ หนูเป็นคนขี้เขินเฉยๆ
หลังเดบิวต์ หนูเริ่มไลฟ์ เริ่มไฮทัช คนก็เห็นว่าหนูพูดเยอะขึ้น เป็นคนคุยสนุก ซึ่งก็ดีใจมากค่ะ แต่ปัญหาคือ…บางคนกลับคาดหวังว่าหนูต้องพูดเยอะตลอดเวลา พอมาไฮทัช เขาก็จะบ่นว่า ‘ไม่เห็นพูดเยอะเหมือนในไลฟ์เลย’ หนูก็แบบ… เอ้า หนูก็คุยนะคะ แต่เวลามันน้อย จนต้องแซวในใจว่า ต่อไปจะท่อง ก-ฮ ให้ฟังเลย จะได้เยอะๆ สมใจค่ะ (หัวเราะ)
Luksorn: พอเข้ามาอยู่ใน BNK48 รุ่น 6 แล้ว หนูกลายเป็นพี่คนโตสุดของรุ่น ทุกคนเลยเข้าใจว่าหนูเป็นคนนิ่ง สุขุม มีภาวะผู้นำ และนำน้องๆ ได้ตลอดเวลา แต่จริงๆ แล้ว หนูก็มีมุมที่เป็น ‘น้องเล็ก’ เหมือนกันค่ะ
ก่อนเข้าวง หนูไม่เคยทำหน้าที่เป็นพี่ใหญ่เลย ในบ้านก็เป็นน้อง เพราะมีพี่ชาย เวลาทำงานข้างนอกก็อยู่แก๊งเด็กๆ คุณครู พี่ๆ คือผู้ใหญ่หมด หนูไม่เคยอยู่ตำแหน่งผู้นำมาก่อนเลย
หนูอยากให้ทุกคนรู้ว่า หนูไม่ได้แข็งแรง สุขุมนุ่มลึกตลอดเวลา หนูก็มีมุมที่อยากเป็นเด็ก อยากอ้อน อยากเล่นเหมือนกันค่ะ ไม่ได้เป็นพี่โตเก่งๆ แบบนั้นตลอดเวลาเหมือนที่หลายคนคิดเลย
Mirin: ของหนูจริงๆ แฟนๆ เข้าใจหนูถูกหมดเลยค่ะ ไม่มีอะไรที่เข้าใจผิด แต่ถ้าถามว่า ‘อะไรที่ทำให้หนูน้อยใจ’ นิดๆ ก็คงเป็นเรื่องคาแรคเตอร์
ทุกคนจะจำว่าหนูเป็นสายเท่ๆ แมนๆ มีคู่จิ้น มีลุคหล่อๆ อยู่ตลอด จนกลายเป็นภาพจำของหนูไปแล้ว หนูเองก็ชอบส่องเพจตัวเองนะคะ เห็นแฟนคลับชมว่า ‘มิรินเป็น Saikyou Twintail ที่หล่อที่สุด’ อะไรแบบนี้ก็น่ารักดี
แต่บางทีหนูตั้งใจทำตัวแบ๊วมากๆ แล้วนะคะ ก็ยังโดนมองว่า ‘หล่อ’ อยู่ดี (หัวเราะ)
แบบ…หนูก็อยากเป็นลุคอื่นบ้าง อยากให้เห็นมุมหวานๆ ของหนูด้วยเหมือนกันค่ะ ไม่ใช่แค่มุมเท่ๆ มุมเดียว

หลังจากที่ทั้ง 11 สาว ได้ร่วมพูดคุยกันมามาประมาณหนึ่งแล้ว เราเกิดความรู้สึกว่าอยากให้พวกเธอได้ลอง ‘ขอบคุณตัวเอง’ บ้าง เพราะเราเชื่อว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครรู้จักเราดีเท่าตัวเราเอง
ถึงตัวเองในวันนี้… ขอบคุณ ‘ตัวเอง’ ที่พามาถึง BNK48 รุ่น 6
Cartoon: ขอบคุณตัวเองในตอนนั้นที่ยอมดื้อ ยอมตื้อแม่สุดชีวิต เพื่อมาที่นี่ค่ะ หนูจำได้เลยว่า หนูมั่นใจมากว่า ต่อให้ลำบากแค่ไหน หนูจะเป็น BNK48 ให้ได้ ถึงแม้ต้องอยู่คนเดียวก็ยอม หนูบอกแม่ไปแบบนั้นจริงๆ และวันนี้…หนูได้มายืนตรงนี้แล้ว ก็อยากขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอมถอย
Luksorn: หนูอยากขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอมแพ้กับเส้นทางนี้ค่ะ ถึงแม้จะผิดหวังมาหลายครั้ง เสียใจมากๆ หลายครั้ง แต่ก็ยังมีแพชชั่น ยังมีไฟ และยังรักตรงนี้อยู่เสมอ
ผ่านมา 7-8 ปีเต็มๆ กว่าหนูจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ หนูรู้สึกว่าตัวเองพยายามเยอะมากจริงๆ กว่าจะเก่งขึ้น กว่าจะทำได้ กว่าจะกลายเป็นคนที่สามารถเข้ามาเป็น BNK48 รุ่น 6 ได้ในวันนี้ อยากขอบคุณตัวเอง ทั้งความพยายาม ทั้งน้ำตา ทั้งวันที่แทบหมดหวัง เพราะทั้งหมดมันพาหนูมาถึงตรงนี้
Blythe: ของหนูคือ…ขอบคุณที่ยังมีชีวิตอยู่ค่ะ หนูผ่านอะไรมาเยอะมาก แม้อายุจะเพิ่ง 15 แต่ประสบการณ์ชีวิตช่ำชองเกินวัย เจอหลายอย่างหนักมากๆ
หนูขอบคุณที่ตัวเองผ่านมันมาได้ แก้ปัญหาได้ อยู่รอดมาได้ และยังยืนอยู่ ณ ตรงนี้ในฐานะ BNK48 รุ่น 6
Mail: ขอบคุณตัวเองที่พยายามมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขัน การเรียน หรือเรื่องต่างๆ ที่ต้องอดทน หนูพยายามมาตลอด เพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ดีใจที่ตัวเองพัฒนามาเป็น ‘เวอร์ชั่นนี้’ และก็หวังว่าจะพัฒนาต่อไปสู่เวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิมเรื่อยๆ
Rose: อยากขอบคุณตัวเองที่สู้กับความฝันมาตลอดค่ะ ยืนหยัด เชื่อมั่น และไม่ทิ้งความฝันของตัวเอง ทั้งที่ตั้งแต่เด็ก หนูรู้เลยว่าหนูอยากเป็นนักร้อง อยากเป็นไอดอล แต่ก็มีช่วงที่ครอบครัวไม่เข้าใจ ไม่อยากให้มาทางนี้ เพราะเขาก็มีความคาดหวังว่าอยากให้ลูกไปในเส้นทางที่เขาวางไว้
แต่หนูก็ยืนยันในความฝันของตัวเอง จนสุดท้ายพ่อแม่ก็กลายเป็นคนที่ซัพพอร์ตหนูที่สุด เป็นกำลังใจสำคัญที่สุด หนูเคยทะเลาะกับแม่เป็นเดือนๆ กว่าแม่จะยอมรับว่าหนูอยากมาเส้นนี้จริงๆ และพอแม่ยอมเปิดใจ ทุกอย่างก็เริ่มดีขึ้น
แต่กำลังใจจากครอบครัวอย่างเดียวไม่พอค่ะ ถ้าวันนั้นหนูยอมแพ้ หมดไฟ ต่อให้พ่อแม่สนับสนุนแค่ไหน วันนี้ก็คงไม่มี ‘Rose BNK48’ หนูอาจจะนอนเล่น Roblox อยู่บ้านเฉยๆ ก็ได้ (หัวเราะ)
หนูโดนปัดตกมามากกว่า 10 ครั้ง แต่ก็ยังส่งใบสมัครต่อไป ขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอมแพ้ พอเข้ามาในวง หนูก็อยากขอบคุณที่ยังสดใสอยู่ได้ หลังผ่านช่วงชีวิตที่หนักมากๆ ก่อนเดบิวต์ แบบที่ยอมรับว่าหนูจิตตกหนักจริงๆ จนอีกนิดเดียว…อาจจะลาโลกไปแล้วด้วยซ้ำ
แต่หนูก็ยังอยู่ตรงนี้ ยังยิ้ม ยังมีความสุข ขอบคุณตัวเองที่สู้ ขอบคุณคนรอบข้างที่ให้กำลังใจ และขอบคุณตัวเองที่พิสูจน์ให้เห็นว่าหนูก็มีดี จนทุกอย่างดีขึ้นแล้ว และขอบคุณตัวเองที่ตอนนี้…กินอิ่ม นอนหลับ มีความสุข และเป็นไอดอลที่สวยเลิศปังแบบนี้
Grape: ขอบคุณตัวเองมากๆ ที่กล้าส่งใบสมัครค่ะ กล้าก้าวข้ามสิ่งที่ตัวเองกลัว กล้าทำอะไรที่ไม่เคยทำ แล้วก็ยอมออกจากเซฟโซนเพื่อความฝัน
อยากขอบคุณตัวเองที่พยายามเต็มที่ในทุกเรื่อง ทั้งการเรียน การเป็นไอดอล การบาลานซ์ทุกอย่างในชีวิต หนูพยายามจริงๆ ในทุกด้าน และดีใจที่ตัวเองยังมีแพชชั่นและเป้าหมายชัดเจนอยู่เสมอ และขอบคุณตัวเองที่มีความสุขกับทุกวันนี้ เพราะถ้าไม่มีทุกคน การเป็นไอดอลก็คงไม่สนุกเท่านี้เลย

Mirin: อยากขอบคุณตัวเองที่ไม่ท้อ ไม่หยุดเดินตามความฝันค่ะ ต่อให้เหนื่อยแค่ไหน หนูก็ยังทำต่อจนวันนี้กลายเป็น ‘Mirin BNK48’ แล้วจริงๆ
ขอบคุณตัวเองตอนนี้ที่ทำให้ภาพในหัวว่าอยากเป็นไอดอลแบบไหนชัดเจนขึ้นมาก เห็นตัวเองเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และไม่ยอมแพ้กับสิ่งที่รัก
Inkcha: อยากขอบคุณตัวเองที่ไม่อายแล้วค่ะ ไม่อายที่จะยอมรับว่า ‘อยากเป็นไอดอล’ เพราะตอนเด็กๆ หนูอายมาก ไม่กล้าบอกใครเลยว่าอยากมาทางนี้
แต่วันนี้หนูกล้าส่งใบสมัครแล้ว ขอบคุณตัวเองจริงๆ เพราะถ้าไม่ส่งวันนั้น วันนี้อาจจะอายุเกิน จนไม่ได้ทำในสิ่งที่รักไปตลอด หนูดีใจมากที่วันนั้นกล้าตัดสินใจ และอยากขอบคุณตัวเองที่พยายามทำให้ดีขึ้นในทุกเรื่อง ค่อยๆ เติบโตทีละนิดเพื่อให้สมกับที่ได้มายืนตรงนี้
Mint: อยากขอบคุณตัวเองที่พยายามตามความฝันมาตลอดค่ะ ขอบคุณที่พาตัวเองมาอยู่ในเวอร์ชันที่อยากเห็นจริงๆ และไม่ยอมแพ้กับเส้นทางที่เลือก
ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะชอบวงๆ หนึ่งได้นานขนาดนี้ แต่ดีใจมากที่เด็กคนนั้น ที่รัก BNK48 ตั้งแต่ 7-8 ขวบ พาตัวเองมาอยู่ตรงนี้ได้จริงๆ ภูมิใจในตัวเองมากๆ ค่ะ และขอบคุณที่วันนี้รู้แล้วว่าอยากเป็นอะไร ชัดเจนกับความฝันของตัวเองจริงๆ”
Khowjow: หนูอยากขอบคุณตัวเองที่ชอบทำสิ่งนี้ค่ะ เพราะความที่หนูเป็นคนชอบเต้น ชอบอยู่บนเวที มันทำให้วันนี้หนูกล้าส่งใบสมัครและได้มาเป็น BNK48 จริงๆ
ขอบคุณตัวเองที่ตอนนี้ยอมรับความฝันของตัวเองอย่างเปิดเผยแล้ว ไม่ซ่อน ไม่ปิด เพราะเมื่อก่อนหนูทำทุกอย่างแบบลับๆ เต้นในบ้าน ร้องเพลงในห้องน้ำ เวลาส่งใบสมัครก็ไม่มีใครรู้เลย ทุกคนช็อกมากตอนหนูเปิดตัวเป็น Candidate เพราะไม่เคยบอกใครเลยว่านี่คือสิ่งที่อยากทำ
ที่บ้านเองก็คิดว่าหนูจะไปสายวิทย์อย่างเดียว แต่ความจริงคือหนูอยากเป็นศิลปิน อยากทำงานในวงการมากๆ และหนูก็ดีใจที่วันนี้ตัวเองกล้ายอมรับมัน
และหนูอยากขอบคุณตัวเองที่มีนิสัยแบบนี้ ที่อดทนได้ มีวินัย แบ่งเวลาได้ ถึงจะยังทำได้ไม่สมบูรณ์แบบ 100% แต่ก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว ขอบคุณที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้ และขอบคุณที่เกิดมาเป็นตัวหนูค่ะ”
Praew: ของหนูอยากขอบคุณตัวเองที่ยอมทุ่มเท เหนื่อยขนาดนั้นค่ะ จากคนที่เมื่อก่อนนอนทั้งวัน ไม่มีอะไรทำ ไม่มีเป้าหมาย แต่วันนี้กลายเป็นคนที่แทบไม่ว่างเลย เพราะเจอสิ่งที่รักจริงๆ แล้ว
ขอบคุณตัวเองที่เปิดใจให้เจอความฝัน และตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ หนูก็พัฒนาตัวเองมาตลอดในสิ่งที่รัก ขอบคุณตัวเองที่ไม่หยุดเติบโต

1 คำถาม 1 คำตอบ: Special 11 Questions / ช่วงนี้เราให้น้องๆ ได้สุ่มเลือกคำถามด้วยตัวเอง
ณ วันนี้ ความสุขของการเป็น BNK48 คืออะไร?
Inkcha: ความสุขของหนูตอนนี้คือได้เจอเพื่อนๆ ค่ะ เพราะหนูอยู่โรงเรียนเดิมมาตลอด แทบไม่มีเพื่อนใหม่เลย แต่พอเข้ามาที่นี่ หนูได้เจอทุกคนที่น่ารักมากจริงๆ ดีใจมากนะ แบบพูดจริงเลย
อีกอย่างคือ…ได้เต้นค่ะ ถึงจะเต้นไม่ค่อยเก่ง แต่มันเป็นสิ่งที่หนูอยากทำตั้งแต่เด็ก เวลาเห็นคนเต้นในติ๊กต๊อก หนูก็จะคิดว่าคงทำไม่ได้หรอก เพราะไม่เคยทำมาก่อน แต่พอมาอยู่ที่นี่ ‘ต้องเต้น’ ก็เลยได้ทำ ได้ลอง แล้วได้ขึ้นเวทีหลายครั้ง มันเหมือนความฝันเป็นจริงอย่างหนึ่งเลย
เรื่องที่ทำให้เธอเสียน้ำตามากที่สุด นับตั้งแต่มาอยู่ BNK48?
Praew: สำหรับหนูคือช่วง Chapter Next ค่ะ ตอนนั้นหนูร้องไห้หนักที่สุดในชีวิตจริงๆ ไม่เคยร้องไห้ระดับ ฮือฮือ แบบนั้นมาก่อนเลย
หนูเหนื่อยมาก งานเยอะมาก เพลงที่ต้องขึ้นก็หลายเพลง แต่เวลาซ้อมน้อยจนทุกอย่างตีกันไปหมด แล้วยังไม่เคยขึ้นคอนเสิร์ตมาก่อนด้วย เปิดมาก็เจอคอนเสิร์ตใหญ่เลย ยิ่งเครียดเข้าไปอีก
กลับถึงบ้านทีคือร้องไห้แบบปล่อยสุด เพราะรู้สึกกดดันมากๆ แต่ในใจตอนนั้นคิดแค่ว่า ‘ต้องผ่านให้ได้’ ดูว่าเพลงไหนยังไม่ดี ก็ไปซ้อมใหม่ ยังไงก็ต้องขึ้นเวทีให้ได้ และต้องทำให้ดีที่สุด
สิ่งที่เธออยากพัฒนาให้มากขึ้นคืออะไร?
Mail: หนูอยากพัฒนาการร้องเพลงค่ะ เพราะรู้สึกว่ายังร้องได้ไม่ดีเท่าที่ตัวเองอยากให้เป็น ทักษะด้านอื่นอาจจะโอเคกว่า แต่การร้องยังไม่พอใจเท่าไหร่
หนูรู้สึกว่าถ้าร้องเพลงได้ดีขึ้น หนูก็จะเข้าใกล้การเป็น ‘ไอดอลในอุดมคติของตัวเอง’ มากขึ้น
คำขอบคุณ & คำขอโทษถึงเพื่อนร่วมรุ่น 1 คน
Rose: หนูอยากขอบคุณแพรวมากๆ ค่ะ เพราะตอนเป็นแคนดิเดต หนูไม่ค่อยกล้าคุยกับใครเลย หลายคนก็ไม่ติดด้วยกัน แต่แพรวเป็นคนแรกที่หนูได้คุยจริงๆ และสุดท้ายเราก็ติดมาด้วยกัน หนูดีใจมาก ตอนมาเป็นรูมเมทกันก็ได้คุยกันเยอะขึ้น แพรวให้คำแนะนำหลายอย่างจนหนูรู้สึกอุ่นใจมากๆ
แต่หนูก็อยากขอโทษแพรวด้วย…เพราะมีช่วงหนึ่งที่เรามีปัญหากันนิดหน่อย ไม่เข้าใจกัน บรรยากาศมันตึงมาก แล้วเราก็ไม่คุยกันเป็นสัปดาห์ๆ ตอนนั้นหนูเองก็เครียด กดดัน และรู้สึกผิดมาก
พอมาเคลียร์กันจริงๆ ก็ยิ่งรู้ว่าหนูคงทำอะไรบางอย่างที่ทำให้แพรวไม่สบายใจ หลังจากนั้นหนูยิ่งไม่กล้าชวนคุยก่อน เพราะยังรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ทั้งที่หัวใจหนูก็คือ…เสียดายที่เคยคุยกันเยอะที่สุด แต่กลับกลายเป็นแบบนั้นไป
ทุกวันนี้หนูก็โอเคแหละ แต่สำหรับแพรว…หนูยังรู้สึกติดค้างในใจอยู่เสมอ
Praew (เสริม) “ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วนะ คุยกันปกติแล้ว” (ในโมเมนต์จริง ทั้งสองคนเดินเข้ามากอด ปลอบใจกันเบาๆ เป็นซีนที่อบอุ่นมาก)
คติประจำใจหรือมายด์เซ็ตบางอย่างที่คุณยึดถือในชีวิต ที่ไม่ใช่แค่ในวงคืออะไร?
Blythe: หนูไม่ค่อยมีคติประจำใจแบบตายตัว ชีวิตหนูก็เป็นแบบเด็กผู้หญิงธรรมดาคนนึง กิน นอน ซ้อม เที่ยว ทำงาน เหนื่อยก็พัก มีเวลาว่างก็กินของอร่อย
หนูไม่ได้ยึดติดอะไรเป็นพิเศษ แค่ใช้ชีวิตให้เต็มในทุกโมเมนต์ตรงหน้าก็พอ ทำงานก็ทำให้ดี วันไหนหยุดก็พักเต็มที่ มีเงินก็กินของที่อยากกิน ใช้ชีวิตไปตามจังหวะของตัวเองแบบเรียบง่าย

ความฝันส่วนตัวที่เธอเก็บไว้เงียบๆ ไม่เคยบอกใคร
Mint: ถ้าเป็นความฝันที่ไม่เคยบอกใคร หนูอยากเป็นนักจิตวิทยาค่ะ หนูคิดกับตัวเองบ่อยๆ ว่าถ้าวันหนึ่งออกจากที่นี่ไปแล้ว หนูอยากทำอะไรต่อ แล้วรู้สึกว่าอาชีพนี้มันช่วยคนได้จริงๆ
ช่วงนี้คุณแม่ไม่ค่อยสบาย หนูก็เลยอยากเป็นคนที่แม่สามารถมาปรึกษาได้ โดยไม่ต้องไปหาหมอทุกเรื่อง และในภาพรวมหนูก็อยากเป็นคนที่ช่วยให้ใครสักคนดีขึ้นได้ค่ะ
ถ้ามีวันหยุด 1 วันแบบไม่มีตารางงานเลย อยากทำอะไร?
Khowjow: หนูอยากนอนค่ะ! อยากนอนมากกกก เพราะก่อนเข้าวง หนูนอนเกิน 8 ชั่วโมงทุกวัน เป็นชีวิตปกติที่แบบพักผ่อนพอ ทุกอย่างบาลานซ์มาก แต่ทุกวันนี้…วันไหนได้นอนเกิน 5 ชั่วโมงถือว่า ‘ปาฏิหาริย์’ เลย
ถ้ามีวันหยุดวันหนึ่งที่ไม่ต้องซ้อม ไม่ต้องเรียน ไม่ต้องเตรียมสอบ หนูอยากไม่ทำอะไรเลย ไม่คิด ไม่อ่านหนังสือ นอนเฉยๆ อยู่บ้านอย่างเดียว เพราะตั้งแต่ Chapter Next หนูไม่มีวันแบบนั้นอีกเลยค่ะ เพราะวันไหนไม่ซ้อมก็ต้องอ่านหนังสือ วันสอบก็มีงาน ต้องเตรียมล่วงหน้า หนูไม่เคยลาเรียนเลย ยกเว้นครั้งที่มันจำเป็นจริงๆ ซ้อมดึกแค่ไหนก็ยังไปโรงเรียนอยู่ดี เพราะงั้น…ให้เลือกสักอย่าง หนูขอนอนจริงๆ ค่ะ นอนให้พอสักที
เวลาที่รู้สึกแย่ๆ คนแรกที่เธอจะนึกถึงคือใคร? (ในรุ่น 6)
Mirin: มีอยู่คนเดียวค่ะ…รูมเมทของหนู ‘บลายธ์’ ตอนเลือกห้อง เราตัดสินใจอยู่ด้วยกันเพราะรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ ‘อยู่กับเราได้’ จริงๆ
แล้วมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้หนูจำไม่ลืม วันนั้นเราไปเดินสยามด้วยกัน หนูซื้อรองเท้าคู่ใหม่ ราคาแพงมาก แต่หนูเป็นคนชอบนั่งวิน แล้ววันนั้นเรานั่งจนเหน็บกิน ขาชา เดินไม่ไหว พอกลับถึงหอ หนูล้มเลย พอเงยหน้ามาอีกที…รองเท้าหายไปหนึ่งข้าง
หนูร้องไห้หนักมาก เพราะเพิ่งซื้อมา ยังไม่ทันได้ใช้จริงจังด้วย แล้วตอนนั้นก็สี่ทุ่มกว่าๆ แต่บลายธ์ ทั้งที่เหนื่อยเหมือนกัน ยังยอมพาหนูกลับไปซื้อคู่ใหม่อีกรอบทันที
เวลามีอะไร หนูก็เล่าให้บลายธ์ฟังตลอด ถึงช่วงนี้จะกลับบ้านบ่อย ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าเดิม แต่ก็…รักมันเหมือนเดิมนะ
มีอะไรในตัวเองที่แฟนๆ ยังไม่เคยเห็น แต่อยากให้ได้รู้จัก?
Cartoon: ของหนู…น่าจะเป็น ‘ความขี้วีน’ ค่ะ (หัวเราะ) จริงๆ หนูเป็นคนขี้หงุดหงิดง่ายนะ แต่เก็บอาการเก่ง เลยไม่มีใครรู้ อย่างน้อยๆ วันหนึ่งต้องมีเหตุให้วีนสักเรื่อง เช่น ปวดตา ปวดหัว ปวดตัว อะไรก็แล้วแต่ แต่หนูไม่ได้วีนใส่ใครนะ แค่มีอารมณ์งอนๆ ในใจบ้าง
เพลง BNK48 ที่ตรงกับชีวิตช่วงนี้ที่สุด?
Grape: หนูรู้สึกว่า ต้องเป็น Doushitemo Kimi ga Suki da – จะยังไงก็รักเธอ ไม่ใช่เพราะอยากขายเพลงนะ (หัวเราะ) แต่เพราะเนื้อหามันตรงกับชีวิตตอนนี้จริงๆ ช่วงนี้หนูสอบเข้า ม.ปลาย แล้วเพลงนี้มันพูดถึงการไล่ตามเงาของคนอื่น เหมือนที่หนูเคยลังเลว่าจะเรียนเอกไหนดี เห็นคนอื่นเลือกแบบนี้ แต่ใจเราก็อยากอีกแบบ
สุดท้ายเพลงมันทำให้รู้ว่า…เราไม่ต้องวิ่งตามใคร เราแค่ต้องเลือกทางที่เราถนัดและมั่นใจจริงๆ
ถ้าชวนรุ่นพี่ 1 คนมาเป็นสมาชิก ‘รุ่น 6’ ได้หนึ่งคน จะชวนใคร?
Luksorn: หนูอยากชวนพี่มิวสิค (รุ่น 1) ค่ะ เพราะหนูรู้สึกว่ายังไม่มีใครในรุ่น 6 ที่มีพลังแบบพี่เขาเลย บนเวทีพี่มิวสิคมีความ ‘ออร่าไอดอล’ ชัดมาก ถ้าเขามาอยู่กับเราจริงๆ หนูว่ารุ่น 6 จะได้รับการเติมเต็มขึ้นอีก และน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนอยากพัฒนาให้เก่งเหมือนพี่เขาด้วย


