‘พาณิชย์’ ถกบิ๊กเอกชนไทยในสหรัฐฯ รับฟังความต้องการ-ข้อเสนอแนะ รับมือภาษีทรัมป์ พร้อมดัน Local Content สินค้าไทยแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 (ตามเวลาท้องถิ่น สหรัฐอเมริกา) ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังนำคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ สุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) พรวิช ศิลาอ่อน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และนิวัฒน์ หาญสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส เข้าหารือกับผู้บริหารภาคเอกชนไทยรายใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจในสหรัฐอเมริกา ณ โรงแรม Sofitel Los Angeles at Beverly Hills
ผู้ประกอบการไทยในสหรัฐฯ ที่เข้าร่วมประกอบด้วย CP North America, Best Oriental Produce, Inc., Sun Lee, Inc., Land and Houses USA, Inc., SCG International USA, Inc. และ AS World USA LLC ซึ่งต่างแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อจำกัด และความท้าทายด้านธุรกิจ รวมถึงผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ต้นทุนการนำเข้า – ส่งออก และโลจิสติกส์ พร้อมเสนอแนวทางที่ต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ได้ใช้โอกาสนี้สอบถามโอกาส ความได้เปรียบเชิงการแข่งขันของสินค้าไทย ตลอดจนรูปแบบความร่วมมือที่เอกชนต้องการ ขณะที่ภาคเอกชนได้เสนอให้รัฐเพิ่มบทบาทในการเจรจาทางการค้าลดภาษีบางหมวดสินค้า การสนับสนุนการตลาด ตลอดจนการสนับสนุนด้านข้อมูลและการประสานงานกับคู่ค้าในสหรัฐฯ
โดยภาคเอกชนยังได้สอบถามความคืบหน้าในการเจรจาภาษี Reciprocal Tariffs ไทย-สหรัฐฯ โดยนางศุภจีชี้แจงว่า ขณะนี้การเจรจายังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง มีความคืบหน้าตามลำดับ และตั้งเป้าสรุปผลการเจรจาภายใต้กรอบเวลาเดิม และภาคเอกชน ได้หารือประเด็นอื่นๆ อาทิ การผลักดันสินค้าของผู้ประกอบการ SMEs ไทย สินค้าเกษตรที่ตลาดต้องการและไทยมีศักยภาพ เช่น ไข่ไก่ และเป็ด การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร และอยากให้ภาครัฐสนับสนุนต่างชาติที่มีศักยภาพเข้าประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นผ่านการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ-เอกชน จัดให้มี Long Stay Visa ดึงกำลังซื้อจากต่างชาติในการซื้อบ้าน ซื้อคอนโดในไทย เป็นต้น
ทั้งนี้ ในการหารือ ศุภจี ได้เปิดเผยเพิ่มเติมถึงการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า รัฐบาลไทยพร้อมขับเคลื่อนให้การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ สำเร็จตามกรอบเวลา โดยรัฐบาลให้ความสำคัญทั้งด้านการรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติควบคู่ไปกับการส่งเสริมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทย
ขณะนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังเดินหน้าประสานงานอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเร่งรัดสรุปผลการเจรจาเมื่อทั้งสองฝ่ายพร้อมเริ่มกระบวนการอย่างเป็นทางการ รวมถึงการนำข้อเสนอของภาคเอกชนไปใช้ประกอบนโยบายเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจไทยให้เข้มแข็งในตลาดสหรัฐฯ พร้อมเน้นย้ำความจำเป็นในการป้องกันปัญหาการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า และการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการใช้ Local Content มากขึ้น
ศุภจี ระบุว่า ไทยต้องผสานนวัตกรรมและยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร ใช้ข้อได้เปรียบ ด้านการเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรสู่การเป็น “Food Security Hub” ขายความมั่นคงทางอาหาร ไม่ใช่เพียงขายวัตถุดิบ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลกอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ศุภจีได้ประชุมร่วมภาครัฐ–เอกชน 11 หน่วยงาน เพื่อรับฟังความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการปกป้องและตอบโต้ทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงโครงการเพิ่ม Local Content ไทยสู่ตลาดสหรัฐฯ (RVC-UP) โดยเน้น 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1. การแก้ปัญหาสินค้าราคาถูก ด้อยคุณภาพ และผิดกฎหมาย ที่กระทบมาตรฐานและความปลอดภัย
2. การนำเข้าสินค้าที่แข่งขันอย่างไม่เป็นธรรมสร้างผลกระทบต่อผู้ผลิตไทย โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรม
3. การสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า (Transshipment) ซึ่งกระทบศักยภาพและสิทธิประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย


