×

GDP ไทยขยายตัว 1.2% ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3 ปี 2568 ติดลบ QoQ ครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส จับตาภาวะถดถอย

17.11.2025
  • LOADING...
GDP ไทยขยายตัว 1.2% ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3 ปี 2568 ติดลบ QoQ ครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส จับตา ภาวะถดถอย

เศรษฐกิจไทย (GDP) ในไตรมาส 3 ปี 2568 ขยายตัว 1.2% YoY ต่ำกว่าคาด และยังติดลบ QoQ ครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส สะท้อนว่า เศรษฐกิจไทยขาหนึ่งเข้าไปอยู่ในภาวะถดถอยแล้ว ด้านสภาพัฒน์ คาดว่า GDP ทั้งปีนี้ จะขยายตัว 2.0% YoY (ใกล้เคียงกับค่ากลางของประมาณการก่อน) ก่อนจะขยายตัวชะลอลงเหลือ 1.7% (ค่ากลาง) ในปี 2569

 

วันนี้ (17 พฤศจิกายน) อ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทย (GDP) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 ขยายตัว 1.2% YoY แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า GDP ไทยกลับติดลบ 0.6% QoQ นับเป็นการติดลบ ครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส โดยตัวเลขดังกล่าวนับว่า แย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 1.6% YoY และติดลบ 0.3% QoQ

 

อ้อนฟ้ากล่าวว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไตรมาส 3 ชะลอตัวลงคือ ความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากในช่วงไตรมาส 3 มีประเด็นความไม่แน่นอนและความผันผวนทางการเมืองค่อนข้างมาก รวมถึงมีปัจจัยภายนอกจากความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ท่ามกลางสาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และสาขาการก่อสร้างปรับตัวลดลง

 

สำหรับเครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่นๆ ในไตรมาสที่ 3 พบว่า การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัว 2.6% การส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวถึง 6.9% (โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าที่ขยายตัว 10.8%) ขณะที่การลงทุนขยายตัวต่ำเพียง 1.1% แม้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 4.2% แต่การลงทุนภาครัฐที่ติดลบ 5.3% ลดลงครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส

 

เศรษฐกิจไทยเสี่ยงเข้าสู่ Technical Recession มากแค่ไหน?

 

การที่เศรษฐกิจไทย QoQ ติดลบครั้งแรกในรอบ 10 ไตรมาส ทำให้หลายฝ่ายกังวลใจว่า ไทยจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) หรือภาวะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ติดลบ QoQ ติดต่อกันอย่างน้อย 2 ไตรมาส

 

อย่างไรก็ตาม อ้อนฟ้า กล่าวต่อว่า ในการพิจารณาว่าจะมี Technical Recession เกิดขึ้นหรือไม่นั้น ยังต้องดูข้อมูลอย่างรอบด้าน ทั้งข้อมูลทางการเงินและการคลังพร้อมๆ กัน โดยมองว่าข้อมูลเพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะบ่งชี้ได้

 

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2568 สภาพัฒน์ คาดว่า GDP จะขยายตัว 2.0% YoY (ใกล้เคียงกับค่ากลางของประมาณการเมื่อเดือนสิงหาคม) ชะลอลงจากการขยายตัว 2.5% ในปี 2567 สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2569 สภาพัฒน์ คาดว่า GDP จะขยายตัวชะลอลงเหลือ 1.2 – 2.2% (ค่ากลางการประมาณการ 1.7%)

 

อ้อนฟ้ากล่าวต่อว่า จากตัวเลขประมาณการ GDP ไทยทั้งปี 2568 นี้ที่ 2.0% YoY สะท้อนว่า GDP ไตรมาส 4 จะต้องขยายตัวไม่ถึง 1% โดยประมาณการคร่าวๆ น่าจะอยู่ที่ประมาณ 0.6% YoY

 

โดยประมาณการปัจจุบันนี้ อ้อนฟ้าระบุว่า ได้นำมาตรการเศรษฐกิจที่ออกมาแล้วเข้ามาในสมมติฐานแล้ว โดยวันที่ตัดข้อมูลคือ ณ ไตรมาสที่ 3

 

เปิดปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยปี 2569

 

  • การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน: โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้จ่ายในสินค้าคงทนและภาคบริการ ตามการฟื้นตัวของยอดการจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและจักรยานยนต์ และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว เช่นเดียวกับการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรที่ขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
  • การขยายตัวต่อเนื่องของแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐบาล: สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบประมาณรายจ่ายเหลื่อมปีประจำปีงบประมาณ 2569
  • การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่อง: สอดคล้องกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของจำนวนและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนเที่ยวบินเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง
  • การเพิ่มขึ้นของผลผลิตทางการเกษตร: โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณน้ำที่มากเพียงพอและแนวโน้มการปรับเข้าสู่สภาวะเป็นกลาง (Neutral) ของสถานการณ์เอนโซตั้งแต่ในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2569

 

เปิดข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยง เศรษฐกิจไทยปี 2569

 

  • การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าโดยการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เรียกเก็บต่อประเทศไทย: ผ่านผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกสินค้าของไทย ผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าที่เร่งตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะจากการถ่ายลำ (Transshipment) และผลกระทบต่อภาคการผลิตภายในประเทศเนื่องจากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้าทั้งจากสหรัฐฯ
  • แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก: โดยมีความเสี่ยงจากความยืดเยื้อและความไม่แน่นอนของมาตรการกีดกันทางการค้า ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสำคัญ ความเสี่ยงจากแนวโน้มวัฏจักรขาลงของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนของตลาดทุนอันเนื่องจากแนวโน้มการปรับฐานราคาหลักทรัพย์ของบริษัทเทคโนโลยี
  • ระดับหนี้สินภาคเอกชนที่ยังอยู่ในระดับสูงที่จะเป็นข้อจำกัดของการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ: สัดส่วนหนี้ครัวเรือนแม้จะลดลงแต่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่คุณภาพสินเชื่อครัวเรือนและสินเชื่อภาคธุรกิจ SMEs มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง
  • บรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้งที่อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน: โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคธุรกิจที่อาจมีความกังวลต่อการเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งจะนำไปสู่การชะลอการลงทุนใหม่หรือขยายการผลิต นอกจากนี้ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่อาจจะส่งผลให้กระบวนการจัดทำงบประมาณมีความล่าช้า

 

เปิดข้อเสนอแนะถึงรัฐบาล

 

อ้อนฟ้า ยังระบุว่า การเร่งทำงบประมาณเป็นสิ่งที่สำคัญมากและเป็นสิ่งที่รัฐบาลทำมาถูกทางแล้ว เนื่องจากหากงบประมาณล่าช้าจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน

 

“ความล่าช้าจะทำให้ต้องใช้งบไปพลาง และงบลงทุนจะไม่สามารถออกได้ ทำให้เงินที่จะไหลเข้าสู่ภาคเศรษฐกิจ (เช่น ภาคก่อสร้างและการลงทุนของเอกชน) ไม่เกิดขึ้น ดังนั้น การเร่งทำงบประมาณจะช่วยได้ เพื่อเพิ่มการลงทุนภาครัฐเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น”

 

นอกจากนี้ การเจรจาทางการค้าและภาษีก็มีความสำคัญมากและจะมีผลต่อเศรษฐกิจในปีหน้า โดยรัฐบาลควรทำควบคู่กับการเร่งหาตลาดใหม่ โดยควรมุ่งเน้นตลาดที่มีศักยภาพ เช่น เอเชียใต้อย่าง อินเดีย และปากีสถาน รวมถึงประเทศในทวีปแอฟริกา

 

รัฐบาลยังควรให้ความสำคัญกับการเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ เร่งรัดการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การดูแลภาคการเกษตร การขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน การแก้ไขปัญหาด้านการเข้าถึงสินเชื่อของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน และการรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง ไปพร้อมๆ กัน

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising