วันนี้ (16 พฤศจิกายน) ศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงกรณีสหรัฐอเมริกาแจ้งขอระงับการเจรจาภาษีการค้ากับไทยชั่วคราว หลังรอคำยืนยันว่าฝ่ายไทยจะกลับเข้าสู่ Joint Declaration (MOU ร่วม) ไทย-กัมพูชาอีกครั้ง โดยระบุว่า การบริหารของรัฐบาลปัจจุบันทำให้ประเทศเสียหายจนประเมินไม่ได้ เราทุกคนมีความรักชาติเหมือนกัน แต่วิธีการบริหารที่ต่างกัน จะสร้างความเสียหายแบบที่ประเมินไม่ได้
โฆษกพรรคเพื่อไทยย้ำว่า พรรคเพื่อไทยเชื่อมั่นว่าไทยมีสิทธิและหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตย รวมถึงสิทธิในการตอบโต้ที่ได้สัดส่วนเมื่อถูกรุกล้ำ และเราก็ได้ดำเนินการบนรากฐานความคิดนั้นมาตลอด โดยที่ผ่านมารัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยได้ทำงานร่วมกับฝ่ายความมั่นคง ได้ตอบโต้ผู้ที่รุกล้ำอธิปไตยและสร้างความเสียหายให้กับพี่น้องประชาชนไทย โดยได้แสดงแสนยานุภาพในการตอบโต้จนเป็นที่ประจักษ์ ข่าวลือข่าวปลอมต่างๆ ที่ว่าเราสั่งให้หยุดก็พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง
ศึกษิษฏ์ ระบุว่า ในช่วงเดียวกัน พรรคเพื่อไทยยังเดินหน้าการทูตเชิงรุก ผ่านทั้งกลไกทวิภาคี (สองฝ่าย) และพหุภาคี (หลายฝ่าย) เพื่อรักษาสมดุลระหว่างอธิปไตยและเศรษฐกิจ จนนานาประเทศทั่วโลกหันมาฟังและพร้อมที่จะสนับสนุนเรา เอาโลกมาล้อมคู่กรณี
ศึกษิษฏ์เปรียบเทียบกับการบริหารของรัฐบาลชุดปัจจุบันว่าแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่คำพูดที่สับสน ไม่มีวุฒิภาวะ ทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทย หรือบางคำอาจจะนำไปสู่การเสียดินแดน ผลักพันธมิตรออกห่าง ไม่เดินการทูตเชิงรุกจนเราเสียพันธมิตรทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี
โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้เสนอแนะรัฐบาลตั้งแต่แรกให้รีบทำงานเชิงรุกผ่านประเทศมหาอำนาจ พรรคเพื่อไทยได้เสนอแนวทางมาตั้งแต่หลังเกิดเหตุ ให้นายกรัฐมนตรีเร่งพูดคุยกับอเมริกาและจีน ประเทศมหาอำนาจที่เป็นผู้ผลักดันและสักขีพยานในปฏิญญาสันติภาพ และให้กรอบกลไกนานาชาติต่างๆ เพื่อนำข้อมูลของประเทศเราออกไปก่อน แสดงให้โลกรู้ว่าเราไม่ได้เริ่มก่อนแต่กัมพูชาเป็นคนฉีกกติกา และใช้ยุทธศาสตร์โลกล้อมกดดันกัมพูชา เหมือนที่เราเคยทำ
ผลลัพธ์จากการบริหารงานไร้ประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศอยู่ในจุดที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก นอกจากเผชิญหน้ากัมพูชาแล้ว ยังเจอกับแรงกดดันจากอเมริกาอีกด้วย ทั้งที่สามารถรับมือสถานการณ์ได้ดีกว่านี้โดยไม่ขยายประเด็นเปิดช่องให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถึงแม้ว่าเราจะไม่พอใจกับท่าทีของสหรัฐอย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงคือมูลค่าการค้าขายกว่า 3 ล้านล้านบาท ภายใต้ตัวเลขเหล่านี้คือพี่น้องประชาชนจำนวนหลายสิบล้านคนที่จะได้รับผลกระทบ เสียหายทั้งในด้านอธิปไตยและด้านเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบถึงความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องก็ต้องติดค้างอยู่ด้วย และถึงพรรคฝ่ายค้านว่า สิ่งที่รัฐบาลนี้ได้กระทำ นับเป็นความผิดพลาดเพียงพอที่จะไว้วางใจให้บริหารประเทศต่อไปหรือไม่


