×

กมธ. ร่างแก้ไข รธน. ลงมติ 22:9 ปัดตกสภาที่ปรึกษา ให้รัฐสภาเลือกโดยตรงทั้ง กมธ. ยกร่างฯ และ กมธ. รับฟังความเห็นประชาชน

โดย THE STANDARD TEAM
12.11.2025
  • LOADING...
กมธ. ร่างแก้ไข รธน. ลงมติ 22:9 ปัดตกสภาที่ปรึกษา ให้รัฐสภาเลือกโดยตรงทั้ง กมธ. ยกร่างฯ และ กมธ. รับฟังความเห็นประชาชน

วันนี้ (12 พฤศจิกายน) ที่อาคารรัฐสภา โฆษกคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภา นำโดย นรเศรษฐ์ ปรัชญากร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) แถลงผลการประชุม โดยระบุว่า ในช่วงเช้า กรรมาธิการได้ลงมติในหลักการสำคัญในมาตรา 256/1 คือเห็นชอบให้ตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 35 คนตามร่างหลัก และให้แก้ไขจาก สภาที่ปรึกษา จำนวน 100 คน ให้เป็นคณะกรรมาธิการรับฟังความเห็น และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน จำนวน 35 คน

 

ส่วนที่มาและคุณสมบัติของคณะกรรมาธิการทั้ง 2 คณะ จะมีการพูดคุยรายละเอียดในรายมาตราต่อไป สำหรับประเด็นที่พรรคประชาชนเสนอให้สมาชิกรัฐสภารวมกลุ่มกัน 20 คน และเลือกคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 1 คนนั้น ที่ประชุมยังไม่ได้ลงมติในประเด็นนี้ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงบ่ายหลังการหารือมาตรา 256/5 แต่ที่ประชุมไม่ได้มีความเห็นแตกต่างกันมาก

 

เชื่อ กมธ. ยกร่างฯ ที่รัฐสภาเลือก ใกล้ชิดประชาชนกว่า

 

ด้าน พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส. สมุทรปราการ พรรคประชาชน ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการฯ ชี้แจงว่า เดิมทีในร่างของพรรคประชาชนกำหนดให้มีสภาที่ปรึกษา ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง แต่เสียงส่วนใหญ่ในห้องกรรมาธิการฯ ไม่เห็นชอบ จึงจำเป็นต้องหาแนวทางใหม่ ซึ่งทางเลือกที่เสนอโดย กรวีร์ ปริศนานันทกุล สส. อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ในฐานะกรรมาธิการ ได้รับเสียงเห็นชอบสูงสุด ว่าให้ตั้งเป็นคณะกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็น และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยตามมาตรา 256/5 กำหนดวิธีการเลือกคณะกรรมาธิการ ให้รัฐสภาเลือกจากบัญชีบุคคล ซึ่งช่วงบ่ายนี้จะมีการหารือในประเด็นดังกล่าว

 

พนิดาย้ำว่า ร่างของพรรคประชาชนได้เสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างฯ มาตั้งแต่แรก ซึ่งที่ประชุมเสียงข้างมากเห็นชอบด้วย และถึงแม้จะมีข้อเสนอเรื่อง สสร. ขึ้นมาบ้าง แต่ พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะเจ้าของร่าง ก็ได้ยืนยันในหลักการ ว่าหากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถให้มีการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงได้ เมื่อมีข้อกังวลแล้ว การให้มีคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ซึ่งมาจากการเลือกของรัฐสภาโดยตรง จะมีความใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่า

 

“ขณะที่ข้อเสนอให้รัฐสภาเลือก สสร. แล้วให้ สสร. เลือกคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ก็จะเพิ่มเป็น 2 ระดับ ซึ่งจะทำให้มีความห่างไกลจากประชาชนมากกว่า จึงยืนยันตามนี้ และเชื่อว่ากรรมาธิการก็มีเหตุผลชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในการพิจารณาวาระ 2” พนิดากล่าว

 

ออกแบบกระบวนการฟังความเห็น-ป้องกันการผูกขาด

 

นรเศรษฐ์ย้ำว่า คณะกรรมาธิการทุกคนเห็นด้วยกับการเลือกตั้งโดยประชาชน แต่ที่จำเป็นต้องลงมติให้แก้ไขประเด็นสภาที่ปรึกษา เนื่องจากเกรงว่าจะขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และทำให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องล่าช้าลงไป

 

“ในเมื่อไม่สามารถให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมได้ตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำ คือการเลือก สสร. เราก็สามารถไปมุ่งเน้นที่กระบวนการกลางน้ำ คือการมีส่วนร่วมและรับฟังความเห็นของประชาชน ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ได้พูดคุยกันในหลักการว่า จะออกแบบกระบวนการนี้ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมให้มาก และมีความหมายมากที่สุด เพื่อชดเชยกับการที่ไม่มีคูหาเลือกตั้งได้” นรเศรษฐ์กล่าว

 

สำหรับข้อครหาว่า หากให้รัฐสภาเป็นผู้เลือกคณะกรรมาธิการฯ แล้ว อาจมีปัญหาเรื่องความไม่เป็นกลาง หรือพวกมากลากไปนั้น พนิดาชี้แจงว่า หลักการในมาตรา 256/5 เรากำลังพิจารณากันอยู่เพื่อป้องกันการผูกขาด หรือข้อกังวลใดๆ ที่ประชาชนมี อย่างในข้อเสนอ 20 หยิบ 1 ก็เป็นการยืนยันว่า สมาชิกรัฐสภาทุกคนจะสามารถเลือกตัวแทนเข้าไปเป็นกรรมาธิการได้ แต่ถึงแม้ข้อเสนอนี้จะยังมีการพิจารณากันอยู่ แต่โดยจุดประสงค์หลักคือป้องกันการผูกขาดแน่นอน

 

ขณะที่ พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการฯ ระบุว่า ถ้าตามที่ประธานกรรมาธิการตั้งใจ ก็คาดว่าในวันศุกร์นี้ (14 พฤศจิกายน) จะเสร็จสิ้นการพิจารณา และในวันที่ 18-19 พฤศจิกายน อาจมีการเชิญผู้แปรญัตติมา หลังจากนั้นอาจเป็นการกำหนดวันเพื่อนัดประชุมร่วมกันของรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในวาระ 2 และ 3 ภายในก่อนเปิดสมัยประชุมหรือวันที่ 12 ธันวาคม 2568 โดยต้องผ่านวาระ 3 ภายในสิ้นปีนี้

 

พิสิษฐ์ยังขอความกรุณาสื่อมวลชน อย่าใช้คำว่าพวกมากลากไป เพราะสมาชิกรัฐสภาก็เป็นตัวแทนของประชาชนอยู่แล้ว เป็นไปตามระบบประชาธิปไตยและตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงขอความร่วมมือไม่ใช้คำว่า พวกมากลากไป เพราะเป็นกระบวนการเสียงข้างมาก และมองว่า ควรแก้ไขเป็นคำว่าป้องกันการถูกครอบงำ

 

มติ 22 ต่อ 9 เพื่อไทยเสียงข้างน้อยโหวตไม่แก้สภาที่ปรึกษา

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการลงมติของคณะกรรมาธิการฯ ที่ให้แก้ไขมาตรา 256/1 (2) คือให้แก้จากสภาที่ปรึกษา เป็นคณะกรรมาธิการรับฟังความเห็นฯ จำนวน 35 คนนั้น ผลการลงมติเห็นชอบ 22 คน ไม่เห็นชอบ 9 คน

 

โดยเสียงข้างมากที่เห็นชอบ ส่วนใหญ่เป็นกรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคประชาชนและ สว. ส่วนเสียงไม่เห็นชอบ 9 คนนั้น คือกรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทย เช่น นายจาตุรนต์ ฉายแสง, นายชลน่าน ศรีแก้ว, นายสุธรรม แสงประทุม, น.ส. ขัตติยา สวัสดิผล เป็น รวมถึง พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ และ นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. ก็ลงมติไม่เห็นชอบเช่นกัน

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising